“ไม่ ฉันจะไม่ยอมถูกรังแก”
“ไม่ ฉันรับไม่ได้กับค่าตอบแทนเท่านั้น”
“ไม่ การประชุมแบบส่วนตัวในห้องบนโรงแรมจะไม่เกิดขึ้น”
“ไม่ ฉันจะไม่ยอมเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่รู้ดีว่าฉันจะไม่ชอบ”

คำกล่าวบางส่วนของ Kim Cattral นักแสดงมากความสามารถชาวอังกฤษ ที่ย้ายไปตั้งรกรากพร้อมครอบครับที่ประเทศแคนาดา หลังจากที่ได้รับรางวัลเป็นหนึ่งใน Women of Power จากนิตยสาร Variety ที่การบอกปฏิเสธพร้อมการกล่าวคำว่า “ไม่” คือสิ่งที่เธอต้องใช้เวลาหลายสิบปีของการโลดแล่นในวงการฮอลลีวูด กว่าที่จะกล้าพูดคำว่า “ไม่” ได้อย่างภาคภูมิใจ ที่ทุกข้อเสนอ ทุกพลิวิลเลจ พร้อมถาโถมเข้าหาคุณ จนสามารถทำให้โชคชะตาชีวิตของใครคนหนึ่งเปลี่ยนไปได้แบบช่วงข้ามคืน หากเขาหรือเธอผู้นั้นเลือกที่จะไม่พูดคำว่า “ไม่”
แต่สำหรับ Kim Cattrall เธอคือเครื่องยืนยันที่เห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด ว่าไม่มีใครสามารถกำหนดชะตาชีวิตหรือเส้นทางต่างๆ ได้นอกจากตัวเราเอง ที่ปัจจุบันถึงแม้การบอกไม่หรือปฏิเสธสิ่งที่เธอรู้ตัวดีว่าไม่ใช่สำหรับเธอ ก็ไม่ได้ทำให้ความสามารถในฐานะนักแสดงหรือการยอมรับลดน้อยถอยลงไป มีเพียงแต่จะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน และการเอ่ยคำว่าไม่หรือบอกปฏิเสธสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะพลาดสิ่งสำคัญหรือดีที่สุดในชีวิตเราไป

Kim Cattrall เกิดในเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ก่อนที่ครอบครัวของเธอจะย้ายมาตั้งรกรากที่ประเทศแคนาดา จนกระทั่งเธออายุ 17 ปีก็ได้ย้ายมามหานครนิวยอร์คพร้อมก้าวเข้าสู่วงการพร้อมกับเดบิวต์ด้วยผลงานภาพยนตร์เรื่อง Rosebud (1975) นับตั้งแต่นั้นมาชื่อของเธอก็กลายที่เป็นที่จับตามอง และเป็นหนึ่งในดาวแห่งยุค 80s พร้อมได้รับการทาบทามให้ไปฝากผลงานไว้อีกมากมาย
หากจะให้พูดชื่อเรื่องเด่นๆ ที่คอภาพยนตร์ชาวไทยพอจะรู้จักคงจะหนีไม่พ้นอย่าง Big Trouble in Little China (1986) หรือบทบาทโรแมนติก-คอมเมดี้แฝงความคัลท์ ที่หุ่นลองเสื้อสาวที่กลับกลายมีชีวิตขึ้นมายามค่ำคืนในเรื่อง Mannequin (1987) ระหว่างนั้นเธอก็ได้ไปแสดงความสามารถและความชื่นชอบในการเล่นละครเวทีด้วยผลงานหลากเรื่องจากบรอดเวย์
จนกระทั่งในปี 1997 ที่ชะตาชีวิตของเธอได้พุ่งทะลุกราฟอีกครั้งด้วยการสวมบทบาทเป็น Samamtha Jones แห่ง Sex and The City หนึ่งในตัวละครที่แฟนซีรีส์ทั่วโลกหลงรักมากที่สุด และหากพูดถึงซีรีส์อมตะขึ้นหิ้งเรื่องนี้ ตัวละครของเธอก็ต้องตามมาเป็นเงาอย่างแยกไม่ออก นอกจากนี้บทบาทนี้เองยังทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Emmy Award ถึงห้าครัง และอีกสี่ครั้งจากเวที Golden Globe Award ซึ่งเธอสามารถคว้ารางวัลนักแสดงสมทบยอดเยี่ยมไปครองได้ในปี 2002 แม้ว่าตัวซีรีส์จะออกอากาศครั้งแรกตั้งแต่เมื่อปี 1998 จนถึงปี 2004 ก่อนที่จะตามมาด้วยภาพยนตร์ภาคต่ออีกสองภาค
ซึ่งคำว่า “ไม่” ของเธอและซีรีส์เรื่องนี้ก็ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ Darren Star โปร์ดิวเซอร์ของซีรีส์เสนอบทนี้ให้กับเธอ และเธอได้ปฏิเสธไปแต่สุดท้ายเธอก็ได้ตอบตกลงรับบทนี้ หลังจากที่เธอได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาบทบาท เส้นเรื่อง และแนวคิดของตัวละครตั้งแต่ต้น ส่วนครั้งที่สองก็เกิดขึ้นเมื่อ Sex and The City ประกาศรีบูทอีกครั้งพร้อมชื่อเรื่องใหม่ว่า And Just Like That ที่เธอได้ประกาศเสียงแข็งพร้อมยืนกรานกับคำว่า “ไม่” ของเธอ จนทำให้การกลับมาในรอบเกือบยี่สิบปีครั้งนี้เหมือนคอสโมโพลิแทนที่ลืมใส่วอดก้าลงไป
ถึงแม้ว่าจะมีข่าวลือถึงดราม่ามาอย่างต่อเนื่องระหว่าง Kim Cattrall และ Sarah Jessica Parker กับความไม่ลงรอยกัน จนเป็นเหตุผลให้เธอตัดสินใจไม่กลับมาร่วมงาน แต่เธอได้กล่าวสยบดราม่าว่าเป็นเพราะเธอรู้ดีว่าอะไรที่ใช่และไม่ใช่สำหรับเธอ
“เป็นเรื่องน่ากลัวไม่น้อยกับการตัดสินใจครั้งนี้ บางคนอาจจะเห็นด้วยกับคุณ บางคนอาจจะไม่เห็นด้วย หรือแม้แม้กระทั่งความกดดันจากแฟนๆ ที่ต้องการให้ฉันเป็นฉันในแบบที่พวกเขาต้องการให้เป็นมากกว่าตัวตนที่แท้จริงของฉัน” Kim Cattrall กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสื่อ “ฉันยังคงรักซาแมนธ่า แต่สุดท้ายแล้วชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อไป ฉันว่านี่แหละคือพลังของคำว่าไม่”
เชื่อว่าหากเป็นนักแสดงหรือคนทั่วไป การบอกลาสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีความผูกพันเข้ามาเป็นตัวแปรของการตัดสินใจย่อมเป็นเรื่องที่ยาก แน่นอนว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของเธอเองก็ต้องใช้ความกล้าและความเด็ดขาด ซึ่งอาจตามมาด้วยหลากความรู้สึกของแฟนๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นสำหรับเธอคนนี้แน่ๆ ก็คือความเคารพที่วงการฮอลลีวูดและแฟนๆ มีให้กับ Kim Cattrall

การได้พูดคำว่าไม่สำหรับเธอแล้วเปรียบเสมือนการปลดปล่อยพันธะ ความกดดัน และความคาดหวังที่เกิดขึ้น แม้ว่าคำสั้นๆ คำนี้บางครั้งอาจเป็นเรื่องยากที่จะพูดออกไป บางคนอาจเจอสภาวะน้ำท่วมปาก หรือสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่สิ่งที่กล่าวมาสำหรับ Kim Cattrall แล้วเธอเชื่อว่า “จะทำให้คำว่าไม่ ทรงพลังมากยิ่งขึ้นไปอีก คำว่าไม่ จะทำให้คุณได้เห็นคุณค่าของตัวเอง คำว่าไม่จะทำให้คุณรู้ขอบเขตและเป้าหมายในชีวิตของคุณ ที่จะนำไปสู่ความมั่นใจว่าสิ่งดีๆ อีกมากมายในชีวิตกำลังจะมาถึง” ก่อนที่เธอจะปิดท้ายว่า
“การบอกลากับอดีต คือการทักทายกับอนาคตที่กำลังจะมาถึง เพราะสุดท้ายแล้ว เราทุกคนคือนักเขียนบทภาพยนตร์ในขีวิตจริงของเราเองทั้งนั้น”

แต่สำหรับ Kim Cattrall เธอคือเครื่องยืนยันที่เห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด ว่าไม่มีใครสามารถกำหนดชะตาชีวิตหรือเส้นทางต่างๆ ได้นอกจากตัวเราเอง ที่ปัจจุบันถึงแม้การบอกไม่หรือปฏิเสธสิ่งที่เธอรู้ตัวดีว่าไม่ใช่สำหรับเธอ ก็ไม่ได้ทำให้ความสามารถในฐานะนักแสดงหรือการยอมรับลดน้อยถอยลงไป มีเพียงแต่จะเพิ่มมากขึ้นทุกวัน และการเอ่ยคำว่าไม่หรือบอกปฏิเสธสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะพลาดสิ่งสำคัญหรือดีที่สุดในชีวิตเราไป

หากจะให้พูดชื่อเรื่องเด่นๆ ที่คอภาพยนตร์ชาวไทยพอจะรู้จักคงจะหนีไม่พ้นอย่าง Big Trouble in Little China (1986) หรือบทบาทโรแมนติก-คอมเมดี้แฝงความคัลท์ ที่หุ่นลองเสื้อสาวที่กลับกลายมีชีวิตขึ้นมายามค่ำคืนในเรื่อง Mannequin (1987) ระหว่างนั้นเธอก็ได้ไปแสดงความสามารถและความชื่นชอบในการเล่นละครเวทีด้วยผลงานหลากเรื่องจากบรอดเวย์
จนกระทั่งในปี 1997 ที่ชะตาชีวิตของเธอได้พุ่งทะลุกราฟอีกครั้งด้วยการสวมบทบาทเป็น Samamtha Jones แห่ง Sex and The City หนึ่งในตัวละครที่แฟนซีรีส์ทั่วโลกหลงรักมากที่สุด และหากพูดถึงซีรีส์อมตะขึ้นหิ้งเรื่องนี้ ตัวละครของเธอก็ต้องตามมาเป็นเงาอย่างแยกไม่ออก นอกจากนี้บทบาทนี้เองยังทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Emmy Award ถึงห้าครัง และอีกสี่ครั้งจากเวที Golden Globe Award ซึ่งเธอสามารถคว้ารางวัลนักแสดงสมทบยอดเยี่ยมไปครองได้ในปี 2002 แม้ว่าตัวซีรีส์จะออกอากาศครั้งแรกตั้งแต่เมื่อปี 1998 จนถึงปี 2004 ก่อนที่จะตามมาด้วยภาพยนตร์ภาคต่ออีกสองภาค

ถึงแม้ว่าจะมีข่าวลือถึงดราม่ามาอย่างต่อเนื่องระหว่าง Kim Cattrall และ Sarah Jessica Parker กับความไม่ลงรอยกัน จนเป็นเหตุผลให้เธอตัดสินใจไม่กลับมาร่วมงาน แต่เธอได้กล่าวสยบดราม่าว่าเป็นเพราะเธอรู้ดีว่าอะไรที่ใช่และไม่ใช่สำหรับเธอ
“เป็นเรื่องน่ากลัวไม่น้อยกับการตัดสินใจครั้งนี้ บางคนอาจจะเห็นด้วยกับคุณ บางคนอาจจะไม่เห็นด้วย หรือแม้แม้กระทั่งความกดดันจากแฟนๆ ที่ต้องการให้ฉันเป็นฉันในแบบที่พวกเขาต้องการให้เป็นมากกว่าตัวตนที่แท้จริงของฉัน” Kim Cattrall กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสื่อ “ฉันยังคงรักซาแมนธ่า แต่สุดท้ายแล้วชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อไป ฉันว่านี่แหละคือพลังของคำว่าไม่”


“การบอกลากับอดีต คือการทักทายกับอนาคตที่กำลังจะมาถึง เพราะสุดท้ายแล้ว เราทุกคนคือนักเขียนบทภาพยนตร์ในขีวิตจริงของเราเองทั้งนั้น”