รู้จักหญิงเก่งแห่งวงการบาร์ สไมล์ – กชวรรณ ม้ามืดจากเวที Diageo World Class Thailand 2022

เธอได้ตำแหน่งสำคัญถึง 2 ตำแหน่งไปครอง ทั้งที่เพิ่งเริ่มเป็นบาร์เทนเดอร์ได้เพียง 5 เดือน
บาซาร์พาคุณไปรู้จักกับสาวน้อยมหัศจรรย์ของวงการบาร์เทนเดอร์ สไมล์ – กชวรรณ สกุลวรรณดี จากร้าน Rabbit Hole Bangkok ผู้ที่เริ่มจาก 0 สู่ตำแหน่ง Rising Star และรองชนะเลิศอันดับ 1 จากเวทีดิอาจิโอ เวิลด์ คลาส ไทยแลนด์ 2022 (Diageo World Class Thailand 2022) ปีล่าสุด ภายในเวลา 5 เดือนนับจากเริ่มต้นอาชีพเท่านั้น
Harper’s BAZAAR : เล่าเรื่องตัวเองก่อนมาเป็นบาร์เทนเดอร์ให้เราฟังทีสิคะ
Smile : สไมล์ก็เป็นเด็กมหาวิทยาลับธรรมดา เรียนมนุษยศาสตร์อยู่ที่ ม.กรุงเทพฯ ค่ะ

HBZ : คิดว่าตัวเองฝันอยากเป็นอะไร อยากทำอาชีพอะไรมาก่อน
SM : ไม่ได้ฝันอะไรเลยค่ะ เราก็เรียนไปเรื่อยๆ ตอนนั้นไม่ได้ฝันเกี่ยวกับอาชีพอะไรมากมาย

HBZ : เรามีไลฟ์สไตล์อย่างไรตอนที่เรียน กิจกรรม งานอดิเรกอะไร
SM : ไลฟ์สไตล์ก็ค่อนข้างที่จะเป็นคนเรื่อยๆ พอสมควร ไม่ทำกิจกรรม ไม่ได้เข้าชมรม เป็นสายชิล นอนดูการ์ตูน กินข้าว แต่ถ้าชอบอะไรก็จะค่อนข้างโฟกัสสิ่งนั้นมากๆ เลยค่ะ

HBZ : แล้วอะไรจุดประกายให้เราทำบาร์เทนเดอร์ เพราะดูจากไลฟ์สไตล์แล้วก็ไม่ได้เป็นคนออกไปเที่ยวกินดื่ม
SM : ตอนแรกสมัครทำงานครัว แล้วก็เปลี่ยนมาทำด้านบริการค่ะ เป็น Hostess ที่โรงแรมก่อน ก็มีโอกาสเห็นพี่บาร์เทนเดอร์ ก็ได้คุย พอได้คุยแล้วก็รู้ว่า ค่าตอบแทนสูง และเป็นอาชีพที่ค่อนข้างได้เจอคนอื่น เราชอบที่จะได้คุยแลกเปลี่ยนทุกอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องเหล้า ตอนที่เริ่มสนใจตอนนั้นยังไม่มีโควิดค่ะ ลูกค้าค่อนข้างเยอะ ทำให้เรารู้ว่าหลายประเทศเขามีวัฒนธรรมค่อนข้างที่จะต่างกันพอสมควร ก็เลยชอบ เริ่มหลงใหลงานด้านนี้

HBZ : คือตอนแรกช่วยเขาในครัวก่อนใช่ไหมคะ
SM : ค่ะ สุดท้ายไม่ได้ทำงานครัวเลย เขาบอกว่าเราตัวเล็กเกินไป เราโดนไม่ให้เข้าทำงานครัว แถมทีมยังบอกว่ายูพูดภาษาอังกฤษได้ยูควรไปเป็นฟร้อนต์มากกว่า อีกเหตุผลหนึ่งที่นักศึกษาทั่วไปน่าจะเจอคือพี่ต้องการประสบการณ์ด้านนี้ ก็แอบคิดนะคะว่าเราจะทำงานได้ยังไง เพราะเราไม่มีประสบการณ์ แล้วเขาก็ไม่ได้ให้เราลอง

HBZ : เขาคงไม่อยากให้เราเข้าไปยุ่งในครัว
SM : ใช่ เขาคงกลัวว่าเราเข้าไปทำอะไรเละเทะ (หัวเราะ)
HBZ : พอเราสนใจงานด้านบาร์เทนเดอร์แล้ว เราไปศึกษาต่ออย่างไรคะ มีการเทคคอร์สอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า
SM : พอเราชอบ สิ่งที่ทำสิ่งแรกคือหางานค่ะ ยังไม่ได้ไปเรียนอะไรเลย จนไปเจอฝรั่งคนหนึ่ง พอคุยกันไปกันมาเหมือนถูกโฉลกกัน เขาก็เลยชวนไปทำงาน ปรากฏว่าเป็นงานบาร์เทนเดอร์ที่โรงแรมคิมป์ตัน มาลัย ทำได้ไม่นานแล้วโควิดก็มาค่ะ คือได้งานแล้วเจอโควิดเลย อย่างที่ทราบกันก็คือเหล้าเป็นสิ่งแรกที่โดนแบนจากวงการ ตอนนั้นแทบจะเป็นบาริสต้าแล้ว เพราะได้ทำแต่กาแฟมาโดยตลอดค่ะ ตรงนี้เลยเริ่มไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เรา เราต้องการสิ่งที่ High Value Cocktail เราต้องการครีเอทค็อกเทล ต้องการค็อกเทลที่มีเฉดมากขึ้น ต้องการเมนูมากขึ้น ก็เลยตัดสินใจลองสมัครงานใหม่ที่ Rabbit Hole ซึ่งตอนนั้นยังเป็นช่วงเปิด-ปิดอยู่เลยนะ แต่ก็ตัดสินใจสมัครค่ะ แล้วก็ได้เข้ามาทำงาน

HBZ : ที่นี่ก็เป็นที่ที่ 2 เองสินะคะ
SM : แต่ถ้าในแง่ของเป็นบาร์เทนเดอร์ที่นี่คือที่แรกค่ะ

HBZ : แล้วเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว เป็นยังไงบ้าง ได้เริ่มงาน ได้ทำจริงๆ แล้ว มีใครสอนงาน
SM : เริ่มแรกก็เครียดเลย เครียดตั้งแต่ก่อนเข้ามาเลย แอบบอกว่าก่อนเข้ามาเริ่มงานคือเราแอบเข้ามาลองนั่งเป็นลูกค้าก่อน จะได้รู้ว่าที่นี่มันเป็นยังไง ด้วยความที่เราทำงานโรงแรมมาก่อน เรากลัว Culture Shock ว่าเราจะอยู่ร้านได้ไหม เราไม่เคยอยู่ร้านมาก่อน เราไม่รู้ว่าร้านเขาอยู่กันยังไง เริ่มมาปุ๊บ… เครียดก่อนเลย เมนูเยอะจัง แล้วก็… อร่อยจัง

HBZ : ครั้งแรกชิมไปกี่แก้ว
SM : 4 แก้วเลยค่ะ จำได้เลย แล้วมันมี gap ที่เราออกจากที่ทำงานเก่าก่อนมาที่นี่ มันเป็น gap ว่าง กลับไปนั่งเครียด จะอยู่รอดไหม แต่พอมาทำงานจริงๆ คือ ทุกคนใจดีมาก เขาไม่ได้ใจดีแบบโอ๋เรานะคะ เรียกว่าอยู่แบบครอบครัวมากกว่า คือ ผิดก็ว่าไปตามผิด โดยเฉพาะพี่เดปป์ (นพป์เศรษฐ์ หิรัญวาทิต รุ่นพี่บาร์เทนเดอร์ที่ Rabbit Hole) คือเริ่มสอนตั้งแต่แรกเลย ตั้งแต่จับขวดยังไง จับจิกเกอร์ยังไง สิ่งที่เราคิดว่าที่เราเคยทำตรงโน้นเป็นสิ่งที่ถูก แต่จริงๆ ไม่ใช่ เราเหมือนแค่หยิบเชกเกอร์มาแล้วก็เขย่าปกติ เราไม่ได้รู้ว่ามันต้องหมุนยังไง เราไม่รู้ว่า การคน (Stir) ที่ดีควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ เราไม่รู้ว่าจับขวดให้สวยต้องจับยังไง พี่เดปป์สอนให้ตั้งแต่แรก

HBZ : แล้วเมนูที่นี่ที่คนเขาฮิตๆ ที่เราทำบ่อย คืออะไร ตอนนั้น คนเขาชอบดื่มอะไรกัน
SM : มันเยอะมาก มันเยอะแบบเท่ากัน สุดท้ายแล้วความชอบของคนไม่เหมือนกัน ก็เลยเฉลี่ยกันไป อยากบอกว่า Shittttt Negroni เยอะอยู่ ก็ไม่ใช่ Signature ตอนนั้น Cry Me the Moon เยอะ อันนี้เป็นเมนูเก่า ตอนนี้ไม่มีแล้วนะคะ แต่สุดท้ายแล้วก็เฉลี่ยเท่าๆ กัน เพราะคนก็เลือกสิ่งที่ตัวเองชอบค่ะ

HBZ : แล้วมีใครที่แบบเป็นแรงบันดาลใจของเราบ้าง
SM : คงเป็นพี่เดปป์ เราชอบพี่เดปป์เพราะเขาไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่ตัวเราเคยเจอมาก่อน ตอนแรกเราชอบ culture เขา เท่าที่เราเคยได้ยินได้คุยกับคนอื่น คนอื่นอาจจะให้ดูอย่างเดียวก่อนแบบอยู่ข้างนอก แต่พี่เดปป์เขาสอนให้ทำเลย แล้วเขาไม่ใช่คนที่ จะมาว่าว่าทำไมเราทำไม่ได้ แล้วเขาเป็นคนเรียนรู้อยู่เรื่อยๆ ด้วยค่ะ เขาไม่ได้รู้สึกว่าของเขาดีที่สุด และคอยเปิดรับวิธีอื่นมันทำให้เขามีการพัฒนาอยู่เรื่อยๆ และมีอะไรที่สอนได้เรื่อยๆ
HBZ : ทีนี้เราได้ทำงานตรงนี้แล้ว แล้วเราได้เข้าประกวด อะไรที่ทำให้เราตัดสินใจประกวดดิอาจิโอ เวิลด์ คลาส ไทยแลนด์ ในตอนนั้น มีใคร push เราให้ไป หรือเราอยากไปเอง
SM : พี่เขาบอกว่าเขาให้ลงได้ร้านละ 2 คน มีคนนึงเป็น senior แล้วเขาเป็นโควิดพอดี ก็เลยเหลือเรา ซึ่งพี่เดปป์เขาเคยไปแข่งมาก่อน ได้ที่ 2 เป็นเหมือนรุ่นพี่เคยไปแข่งเวทีนี้มาก่อน เติบโตจากเวทีนี้เหมือนกัน ก็เลยส่งน้องๆ ไปแข่ง

HBZ : ก็ยิ่งอยากให้น้องๆ ได้ลองไปหาประสบการณ์
SM : ค่ะ เขาก็ถามว่าอยากลงไหม เขาไม่บังคับ แล้วตอนนั้นพูดตรงๆ เลยว่า รู้ว่า World Class เป็นรายการใหญ่ แต่ไม่มีความรู้เลยว่ามันจะยากขนาดนี้ คือรู้ว่าเป็นรายการระดับโลกนะ แต่ไม่รู้ว่ายากขนาดนี้ และเราไม่รู้ว่าเราจะเจอความกดดันมหาศาลขนาดนี้ ก็เลยบอกว่าลงก็ได้พี่ ลงดีกว่า ก็เลยลงไป ตอนที่เริ่มประกวดภายใน 2 เดือน เราไม่รู้จักใครเลย ตอนไปแข่งคือทุกคนรู้จักกันหมดเลย เครียดเลย

HBZ : แล้วประกวด ยิ่งเซอร์ไพรส์ที่ชนะหลายๆ คนมาได้
SM : นี่คือยกเครดิตให้พี่เดปป์และทีมได้เลยค่ะ เราไม่เคยเห็นการประกวดมาก่อนเลย ด้วยความที่ 2 เดือน เราก็อยากเข้ารอบ เราก็แอบคิดข้างในใจลึกๆ อยู่เหมือนกันว่าจะไปได้ได้ยังไงในเมื่อคนอื่นเขาแข่งมาเยอะมากขนาดนี้ ก็สู้เต็มที่แหละ แล้วพอมาเข้ารอบลึกขึ้นเรื่อยๆ ถึงรอบที่ต้องไปโรงแรม เราไม่รู้เลยว่าเราต้องจัดบาร์ยังไง บาร์จะเป็นยังไง มันไม่ได้เหมือนบาร์ที่ร้านนะคะ มันคือต้องถือถาดและเตรียมอะไรไปบ้าง แล้วเข้าไปจัด แล้วจัดภายในเวลาเท่านั้น แล้วเราต้องคิดสูตร ซึ่ง Blank ไปเลย เราต้องคิดเรื่องคำพูดที่เราต้องพรีเซ้นต์อีกมันยากมาก

HBZ : ไม่ตื่นเต้นจนเกินไปถือว่ามีสติมากๆ เลยสำหรับมือใหม่
SM : ถ้าใครเห็นอยู่ข้างเวทีจะเห็นเราหน้าซีดจนคนเป็นห่วง พี่ที่จัดการแข่งขันทีมงาน World Class ผู้หญิงเดินมาจับมือแล้วนวด ถามว่าเอายาดมไหมคะๆ ตัวเราก็บอกไม่เป็นไรค่ะ ไหวๆ แล้วก็เกาะข้างๆ เวทีอยู่อย่างนี้ บาร์เทนเดอร์รุ่นพี่ที่ยืนข้างๆ คือแบบ ไหวไหมสไมล์ คือจะเป็นลมจริงๆ ค่ะ แต่พี่ทีมงานค่อนข้างน่ารัก เอายาดมมาให้ เอาน้ำมาให้กิน ก็ขอบคุณพี่เขาด้วย

HBZ : แล้วพอจัดบาร์เสร็จแล้วเราทำอะไรต่อ เขาให้เราทำอะไร เขามีกำหนดอะไรบ้าง
SM : เขามีกำหนดจัดบาร์ 2 นาที ทำค็อกเทลพร้อมพรีเซ้นต์ 5 นาที วันนั้นมี 2 โจทย์ โจทย์แรกมันเป็นเกี่ยวกับช่วงโควิด ตอนนั้นทำเมนูชื่อว่า Survival โดยใช้ Tanqueray No.10 ในการทำ ตอนแรกที่โจทย์ออกมาคิดไม่ออกเลย พูดตรงๆ ตอนนั้นคือไม่ทำอะไรเลย นอกจาก ชงกาแฟ เล่นเกม นอน ดูหนัง กินข้าว แค่นั้น คือชีวิตไม่มีอะไรเลย สิ่งแรกที่พี่เดปป์ให้มาคือ หนังสือของดิอาจิโอ เป็นหนังสือเกี่ยวกับเหล้า เป็นเล่มสีดำๆ ก็เลยไปนั่งอ่าน แล้วมันมี Tanqueray No.10 มันมีประวัติเรื่องที่โรงงานเขาโดนวางระเบิดช่วงสงครามโลก แต่ท้ายที่สุดก็กลับมาใช้ใหม่ได้ เราก็นึกขึ้นได้ว่าเหมือนเกมที่เราเล่นพอดีเลย ก็เลยเอาตรงนี้มา เอา story เรื่องเล่นเกม story เรื่องที่เหมือนกัน มันทำให้เราคิดได้ว่า ตอนนั้นก็ไม่ได้มีแต่เรื่องเครียด ตอนนั้นทุกคนเครียดหมดเลย หลายๆ คนตกงาน หลายๆ คนไม่มีงานทำ ยิ่งบาร์เทนเดอร์ส่วนใหญ่นี่ยิ่งเครียดใหญ่เลย เพราะร้านเหล้าปิด และเนื่องจากที่มันปิด มันทำให้เรามีเวลาว่างเยอะ นอกจากนั่งเล่นเกมก็มีปลูกดอกไม้ค่ะ ดอกไม้ขายดีก็มีดอกดาหลา เราก็เลยเอาดอกดาหลามาทำค็อกเทลด้วย แล้วรวมถึงค็อกเทลตัวนี้เราทวิสต์มาจาก Corpse Reviver No.2 มันเป็นค็อกเทลตัวแรกที่เรารู้จัก ก็เลยหยิบตัวนี้เอามารวมกับเนื้อเรื่องทุกอย่าง พอได้ ก็มาเล่าให้คนอื่นฟัง แล้วให้เหตุผลไปว่า เราไม่อยากทำค็อกเทลที่กินแล้วนึกถึงช่วงเวลาที่แย่ในช่วงโควิด เราเชื่อว่าทุกอย่างมันมีโมเม้นต์ดีๆ อยู่บ้างก็เลยเลือกเอาโมเม้นต์ดีๆ ขึ้นมาค่ะ

อีกหนึ่งโจทย์เป็นโจทย์ของการเล่าเรื่องโดยจะมี 4 สถานที่ให้เลือก เยาวราช สมุย กรุงเทพฯ กับถนนคนเดิน เราเลือกสมุยเพราะเคยไปเที่ยว ที่สมุยมีเกาะที่มีหมูชื่อ ‘เกาะมัดสุม’ แล้ว story ของเกาะนี้ คือการที่คุณป้าร้านขายข้าวเอาหมูไปอยู่กับเพื่อนแล้วให้กินของเหลือ เพื่อ respect ป้า ก็เลือกเอาเมนูของป้ามาทำค็อกเทล เอาแกงคั่ว ใบชะคาม เอาแกงคั่วมาทำค็อกเทล แล้วบวกกับทาลิสเกอร์ค่อนข้างมีกลิ่นทะเลอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้ค็อกเทลเราสมูธมากขึ้น ค็อกเทลส่วนใหญ่จะเน้นแบรนด์เด่น ตามด้วยส่วนผสมอื่นๆ ถ้าชิมตัว Milk Punch อย่างเดียวจะแอบเผ็ดหน่อย มันเป็นพริกแกงคั่ว เอาพริกแกงคั่วไปทำเป็นแฟลช แล้วเอาไปทำเป็น Milk Punch แต่ว่าทาลิสเกอร์มันมีกลิ่นเหมือน smoke เกลือ ทะเลๆ เราก็เลยเอาอันนั้นมา พอมันมากินด้วยกัน มันสมูธเลย มันแทบไม่มีรสเผ็ดเลย แถมตัวทาลิสเกอร์ก็ยังเด่นด้วย มันไม่กลบกันซะทีเดียว ด้วยความที่เขาเป็นอันที่กลิ่นแรง ถ้ากลิ่นเปล่าๆ กลิ่นแบบสมูธ กลิ่นทะเลหนัก แล้วพอมาเจอแกงคั่วเราที่กลิ่นไม่ได้หนักมาก กลิ่นของเขากลบ ทำให้ของเราสมูธ
HBZ : พอตอนที่ประกาศผล แล้วรู้ว่าเราชนะ รู้สึกอย่างไรในตอนนั้น
SM : ประกาศแรกคือ Rising Star ก็ดีใจ ดีใจมาก ก็ยัง งง… ที่งงหนักสุดคือเราได้รางวัลที่ 2 เรายืนอยู่กับเพื่อนข้างๆ คนนี้ได้แน่ๆ ดูทรง เชียร์ พร้อมดีใจไปกับเพื่อน ตอนแรกก็เอ๊ะ… ชื่อเราหรือเปล่า

HBZ : ทางทีมดิอาจิโอพอจะบอกได้ไหมคะว่าที่น้องชนะเพราะอะไร (หันไปถามคุณปิ๊ก Senior Brand Ambassador)
Khun Pik : ผมอาจจะไม่ใช่กรรมการโดยตรง เราจะเชิญผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้มาเป็นกรรมการ แต่จากที่ได้พูดคุย และได้คอมเม้นต์มาจากคณะกรรมการทั้งหลาย ก็สรุปได้ว่าหลักๆ เลย อย่างที่สังเกตได้เลยว่าน้องบอกตลอดว่าน้องตื่นเต้น น้องจะเป็นลม แต่ perform เวลาที่เขาอยู่ตรงหน้าบาร์ กลับแตกต่างจากสิ่งที่เขาพูด เขากลับสามารถควบคุมตัวเองให้นิ่งพอที่จะพูดได้ ที่จะเล่าเรื่องราวที่เขาเตรียมมาได้ดี คือต้องบอกว่า World Class เป็นการแข่งขันที่ไม่ใช่ว่าทำค็อกเทลเก่งอย่างเดียวแล้วจะชนะการแข่งขันนี้ได้ มันรวมองค์ประกอบหลายๆ อย่าง

สิ่งที่เราตามหามากที่สุดของการเป็น World Class บาร์เทนเดอร์ คือความ Charming ความมีเสน่ห์ที่คนหนึ่งคนจะเล่าเรื่องราวของค็อกเทลหนึ่งแก้วให้น่าสนใจ จนอยากมาชิมฝีมือค็อกเทลบาร์เทนเดอร์คนนี้จังเลย นี่คือสิ่งที่เขาตามหา ไม่ว่าจะพูดว่าน้องเขาตื่นเต้นจะเป็นลมมากแค่ไหนก็ตาม แต่พอยืนอยู่หน้าบาร์ วิญญาณของบาร์เทนเดอร์มันเข้าสิง แล้วสุดท้ายเขาก็สามารถที่จะพรีเซ้นต์ผลงานของตัวเองได้ นั่นคือสิ่งที่น้องทำได้ดี และแน่นอนเรื่องของการเตรียมตัว ไม่ว่าจะการทำการบ้าน การผูกเรื่องราวต่างๆ การเข้าใจในแบรนด์ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่จะชนะการแข่งขันบาร์เทนเดอร์ได้ ก็น่าจะเป็นจุดนี้ที่ทำให้น้องเขาสามารถแสดงทุกอย่างที่เขาเตรียมตัวออกมาได้ในเวลาที่ดีที่สุด

HBZ : เรียกว่าสไมล์เป็นม้ามืดของงานเลยใช่ไหม
Khun Pik : ใช่ครับ มากๆ เลย

HBZ : ก็เรียกว่าเป็นม้ามืดเลยทีเดียว กลับมาที่สไมล์ เราเคยสงสัยไหมว่าเราคว้ารางวัลนี้มาได้เพราะอะไร
SM : ทุกคนรอบตัว support เราดีมากขนาดที่ว่า เราสามารถโฟกัสเรื่องแข่งอย่างเดียว ไม่ต้องโฟกัสอย่างอื่นแล้วอย่างพี่แม่บ้านยื่นผ้าให้เอาไปเช็ด จะได้มีที่เช็ดแก้ว เราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้แล้ว เพราะถ้าเราต้องมานั่งกังวลว่าต้องเอาอะไรไปเช็ดไหม เราก็จะไม่มีเวลาโฟกัสมากขนาดนี้ รวมถึงทุกคนช่วยติว และบอกทริกตัวเองทั้งหมดที่มีประสบการณ์มา คือสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าเป็นบาร์เทนเดอร์ที่เก่งแค่ไหนก็ตาม เราทำงานเป็นทีม ไม่มีบาร์เทนเดอร์ยืนคนเดียวแน่นอน แม้กระทั่งดริงก์ ก็ไม่มีใครที่ทำออกมาแล้วอร่อย นั่นคือเราอร่อย คนอื่นอร่อยไหมไม่รู้ สไมล์โชคดีมากๆ ที่ supporters เราดีทั้งหมด แม้กระทั่งเรื่องเสื้อผ้า อีกคนคือแฟนค่ะ เรื่องข้าวตอนเช้า เราไม่ต้องคิดเลย แฟนเราคิดให้หมดเลย เราสามารถกลับไปถึงนอนได้เลย แล้วเช้ามาเรามีข้าวให้กินแล้ว ถึงจะกินข้าวไม่ได้มากเพราะกังวลมากก็ตามค่ะ
HBZ : แล้วพอชนะแล้วเราได้ feedback ยังไงบ้าง มันเปลี่ยนชีวิตเรายังไงบ้าง
เปลี่ยนมากขึ้นค่ะ คือ ในที่ทำงานไม่เปลี่ยนหรอก เพราะเราก็ยังเรียนอยู่ เรียนไปเรื่อยๆ ความรู้มันไม่สิ้นสุด ที่เปลี่ยนก็คือ ด้วยความที่ Rabbit Hole เอารูปเราไปลง ทำให้คนมาเห็นมากขึ้น แล้วรู้สึกว่า เออ มีบาร์เทนเดอร์ผู้หญิงด้วย อย่างที่บอกว่า บาร์เทนเดอร์ผู้หญิงเขามีคาแรกเตอร์ของเขา ทำให้เขายอมรับมากขึ้น

เรื่องการทำงาน เราเป็นผู้หญิงที่มาเป็นบาร์เทนเดอร์ เจอแขกที่หลากหลาย มีความท้าทายยังไงบ้าง เจอเรื่องแปลกๆ ไหม เราเอาตัวรอดยังไง
ถ้าแปลกๆ เลย มันไม่ค่อยจะมี แต่จะมีแค่แบบส่วนตัวเราคือมีคนถามว่ามาฝึกงานเหรอ อายุถึงหรือยัง ด้วยความที่ตัวเล็กคนเลยคิดว่ายังเด็กอยู่ และหลายๆ ครั้งที่บาร์ทีมเรามีบาร์เทนเดอร์เยอะกว่า 3 คน เพราะฉะนั้นเราจะวน จะไม่มีคนยืนหน้าบาร์ตลอด จะวนมาเป็น service บ้าง พอมายืน service ข้างนอก หลักๆ เลย เราจะโดนแขกทักประมาณว่า ขอคุยกับบาร์เทนเดอร์หน่อยได้ไหม อยากคุยกับบาร์เทนเดอร์ คิดว่าเราเป็นพนักงานเสิร์ฟ เขาก็จะไม่เชื่อถือ อะไรแบบนี้ค่ะ

HBZ : เพราะเราอาจจะยังดูเด็ก ตอนนี้อายุเท่าไหร่คะ
SM : ก็ 26 แล้วค่ะ

HBZ : ที่บ้านเราว่าไงบ้าง
SM : ที่บ้านหนักมากเลย ด้วยความที่อาจจะดูตัวเล็ก พ่อแม่ดูเป็นห่วงตลอดเวลา เลิกตี 2 สำหรับในสายตาผู้ใหญ่ที่เขาไม่เคยกิน มันก็ดูอันตรายในสายตาเขา
HBZ : ผู้ใหญ่เคยแวะมาดูเราไหม
SM : เขาไม่มาดู แต่ว่า มีคลิปที่เพื่อนถ่ายไปให้ดู เนี่ย สุดท้ายแล้วบาร์เทนเดอร์ในความหมายของบาร์เทนเดอร์มันไม่ใช่แค่คนชงเหล้า มันคือคนที่จะต้องตอบคำถามลูกค้าได้ เพราะลูกค้าถามตลอดเวลาว่า อันนั้นคืออะไร อันนี้คืออะไร ต่างกันยังไง ในความคิดของผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเจอ ก็อาจจะมองไม่เห็น เขาอาจจะมองแค่ว่า คนชงเหล้า เมา น่ากลัว อันตราย แต่ว่าอยากให้ลองมาดู มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว หลังๆ มานี้ เด็กพาพ่อแม่มา เพื่อให้เข้าใจว่านี่คือสิ่งที่กินอยู่ ไม่ได้กินเพื่อเมา กินเพื่อเรียนรู้ กินเพื่อ เออ แปลกดี เหมือนไปกิน Fne Dining ค่ะ

HBZ : ส่วนตัวมีเครื่องดื่มแก้วโปรดของตัวเองไหมคะ
SM : หลายแก้วค่ะ ตัวแรกคือตัวที่เลือกไปแข่ง คือตัว Corpse Reviver นั่นแหละ สดชื่น มันเปรี้ยว อีกตัวหนึ่งที่ชอบคือ Gin Soda คือเป็นค็อกเทลจินทั้งคู่เลย

HBZ : แล้วเรามี Destination ที่เราอยากไปนั่งดื่ม หรืออยากไปเปิดประสบการณ์ไหม
SM : จริงๆ เป็นคนที่ ส่วนตัวแล้ว เป็นคนไม่ค่อยดื่ม จริงๆ ช็อตเดียวก็น่าจะไปแล้ว แต่ถ้าให้เลือก ที่ที่อยากไปมากที่สุดคือญี่ปุ่น เพราะเราหลงใหลทุกอย่าง แล้วยิ่งมาเป็นบาร์เทนเดอร์ ยิ่งอยากไป ญี่ปุ่นเขาจะมีวัฒนธรรมของตัวเองทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการกิน การดื่ม การแต่งตัว เขาเหมือนเป็นโลกของเขา ชอบมาก บาร์ที่นั่นก็มีเอกลักษณ์ สไตล์ค็อกเทลของเขาก็ไม่เหมือนอเมริกาเลย อยากไป อยากรู้ค่ะ

HBZ : สุดท้ายแล้ว อยากฝากอะไรถึงคนรุ่นใหม่ หรือน้องๆ ที่สนใจในอาชีพนี้
SM : มีเด็กมหาวิทยาลัยหลายคนเข้ามานั่งร้าน จะมีคนถามเหมือนกันว่า ทำยังไงให้ได้เป็นบาร์เทนเดอร์ เราก็ตอบว่า “ต้องทำงานค่ะ หางานทำค่ะ” เราว่าเรียนก็ดี แต่ไม่เท่าทำงานจริงค่ะ สุดท้ายแล้วมันก็เกิดจากความชอบ เมื่อเราชอบเดี๋ยวเราจะหาทางไปได้เอง สำหรับบาร์เทนเดอร์ผู้หญิง แม้เดี๋ยวนี้เยอะขึ้นแต่ก็ยังน้อยกว่าผู้ชายอยู่ดี ผู้หญิงที่เป็นบาร์เทนเดอร์ส่วนใหญ่จะมีคาแรกเตอร์เปรี้ยว แต่สไมล์เองก็เป็นเด็กอ้วนคนหนึ่ง (หัวเราะ) เป็นคนเรียบๆ แถมไม่ใช่นักดื่ม ยังเป็นบาร์เทนเดอร์ได้เลย งั้นน้องๆ ก็ทำได้ ที่เรารู้สึกว่า ถ้ายูอยากเป็น ไม่ว่าจะหน้าตายังไง ลักษณะยังไง เพศอะไร ถ้ายูชอบ เป็นเถอะ ไม่ว่าจะอาชีพอะไรก็ตาม เป็นเถอะ ไม่ต้องแคร์สายตาใคร

สุดท้ายแล้วอย่าไปทำอาชีพที่คนอื่นมองว่าดีแต่เราไม่ชอบ เราเป็นคนอยู่กับมัน เราเลือกที่เราชอบดีกว่า เพราะเราต้องทำกับมัน แล้วการทำงานมันไม่ควรมีความรู้สึกว่า ฉันต้องทำงานอีกแล้ว คือมันมีความรู้สึกนั้นได้แหละ คนเรามีความขี้เกียจอยู่ในตัว แต่ว่าไม่ควรไปทำงานแบบไม่อยากทำงานนี้เลย Bad Environment ขนาดนั้น ไม่ OK มากๆ เพราะฉะนั้นเลือกที่ตัวเองชอบที่สุด เด็กรุ่นใหม่ก็จะเป็นอย่างนี้แล้วเนอะ สุดท้ายแล้ว ไม่จำกัดว่าเพศอะไรก็ตาม มันปี 2022 แล้ว มันหมดเรื่องคำจำกัดความเรื่องเพศแล้วค่ะ แค่ว่าเราต้องให้เกียรติซึ่งกันและกันเท่านั้นเอง
มาถึงตรงนี้แล้ว หากมีใครยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับฝีมือของเธอ หรืออยากตามไปชิมค็อกเทลของสาวน้อยมหัศจรรย์คนนี้
ก็สามารถแวะไปพบกับเธอได้ที่ Rabbit Hole Bangkok พร้อมลิ้มลองเมนูใหม่ที่ได้จากการประกวดของเธอที่ร้านเร็วๆ นี้

#BAZAARLifestyle #BAZAARLounge #BAZAARDrink #DiageoWorldClassThailand #Bartender #Woman

TAG

Related Stories

พร้อมยกระดับประสบการณ์การรับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารโฉมใหม่สุดหรูริมทะเลอันดามัน
มาชิมและถ่ายรูปกับขนมหวานโดย KKI Sweets และเมนูอาหารรสเด็ดจากร้านบรันช์สุดชิค Babyccino
ทั้งเรื่องราวของการดูแลธุรกิจที่กำลังรุ่งโรจน์และครอบครัวที่น่ารัก
ด้วยแรงบันดาลใจแรงบันดาลใจสุดพิเศษจากสัญลักษณ์ของความหวังอย่างดวงดาวแห่งเบธเลเฮม ผสานเข้ากับวัฒนธรรมดิสโก้จากยุค 70s อย่างลงตัว
จิตวิญญาณของดินแดนอินโดจีนผ่านผู้คน ชุมชน อาหาร และโบราณสถานอันงดงาม ผ่านการเชื่อมโยงของสองรีสอร์ทหรู Amantaka หลวงพระบาง และ Amansara ในเสียมเรียบ

Most Viewed

สร้อยทองคำขาวประดับอัญมณีรวม 964 เม็ด รังสรรค์ผ่านระยะเวลากว่า 450 ชั่วโมง
จิตวิญญาณของดินแดนอินโดจีนผ่านผู้คน ชุมชน อาหาร และโบราณสถานอันงดงาม ผ่านการเชื่อมโยงของสองรีสอร์ทหรู Amantaka หลวงพระบาง และ Amansara ในเสียมเรียบ
สร้อยทองคำขาวประดับอัญมณีรวม 964 เม็ด รังสรรค์ผ่านระยะเวลากว่า 450 ชั่วโมง
จิตวิญญาณของดินแดนอินโดจีนผ่านผู้คน ชุมชน อาหาร และโบราณสถานอันงดงาม ผ่านการเชื่อมโยงของสองรีสอร์ทหรู Amantaka หลวงพระบาง และ Amansara ในเสียมเรียบ

MORE FROM

พร้อมยกระดับประสบการณ์การรับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารโฉมใหม่สุดหรูริมทะเลอันดามัน
มาชิมและถ่ายรูปกับขนมหวานโดย KKI Sweets และเมนูอาหารรสเด็ดจากร้านบรันช์สุดชิค Babyccino

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว