สำรวจการชุบชีวิตตึกเก่าอายุร้อยปีในสิงคโปร์​และซิดนีย์สู่ที่พักดีไซน์โดดเด่น

ตั้งแต่ The Warehouse Hotel อดีตโกดังเก่าริมแม่น้ำสิงคโปร์ ไปจนถึง Capella Sydney ที่อาคารกระทรวงศึกษาธิการแห่งออสเตรเลีย
ถ้าโลกแฟชั่นมีเทรนด์ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปเช่นไร โลกของการออกแบบก็มีเช่นนั้น ถ้าหากลองสังเกตตึกที่อยู่รอบๆ ตัวเราเอง หรือที่เดินผ่านตาจนคุ้นชิน ทุกตึกถือว่าเป็นตัวบ่งบอกเทรนด์ของช่วงเวลาที่ถูกก่อสร้างขึ้นมาได้เลยทีเดียว รวมถึงยังทำหน้าที่เป็นตัวบันทึกเทรนด์ของยุคก่อนที่ยืนยาวมาถึงในยุคนี้ที่รสนิยมต่างๆ หมุนเวียนไปข้างหน้าหมดแล้วไว้ได้ ทำให้เรามักจะได้เห็นช่วงหนึ่งที่ตึกหน้าตาดูไซไฟเต็มไปหมด บางช่วงก็ดูเป็นสไตล์อาร์ตเดโค แทรกๆ กัน ถ้าบ้านเมืองไหนมีการจัดการและให้ความสำคัญกับงานศิลปะ ตึกต่างๆ เหล่านี้ก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้เลย การปรับเปลี่ยนบทบาทและหน้าที่ของตึกเก่า จึงต้องใช้ความร่วมมือจากหลายส่วน ที่มองเห็นคุณค่าเดียวกัน การบูรณะตึกเก่าแน่นอนว่าต้องใช้เงินทุนที่มากกว่าการสร้างตึกหน้าตาโมเดิร์นใหม่เอี่ยมขึ้นมา เราจึงได้เห็นหน้าตาของตึกสวยๆ เปลี่ยนหน้าที่เป็นพิพิธภัณฑ์บ้าง ร้านค้า ร้านอาหารบ้าง แต่ที่ดูจะเป็นเทรนด์ในช่วงหลายปีมานี้จนเราเริ่มสังเกตและขอหยิบเอามาพูด คือการรับบทเป็นโรงแรมใหม่ในตึกเก่านั้นเอง

ในแง่ของการลงทุน นอกจากจะต้องศึกษาโครงสร้างเก่าแก่เพื่อเก็บรักษาประวัติศาสตร์ไว้แล้ว ยังถือว่าเป็นการลงทุนเพื่อยึดมั่นกับแบรนด์ดิ้ง โดยเฉพาะการนำเสนอความลักชัวรี่ที่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องมูลค่าของวัตถุ แต่ยังรวมถึงศิลปะและวัฒนธรรม เพราะวินาทีนี้ที่เรากำลังพูดกันอยู่ ความเป็นลักชัวรี่ได้ขยายกว้างออกไป อะไรๆ ก็ถูกเรียกว่าเป็นลักชัวรี่ แต่ความลักชัวรี่ในแก่นแท้นั้นจริงๆ ถ้าว่ากันตามตรงก็มีเพียงไม่กี่แบรนด์ที่สามารถทำได้ถึงและทำได้จริง ไม่ใช่เพียงแค่การฉาบหน้าเท่านั้น

หลังจากช่วงโควิดผ่านพ้นไป หนึ่งในอุตสาหกรรมที่กลับมาเดินหน้าฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว อย่างโรงแรมที่กลับมาเร่งสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ เพื่อชดเชยกับช่วงเวลาและเม็ดเงินที่หายไป เราเลยได้เห็นโรงแรมที่เปิดตัวโปรเจคใหม่ในโครงสร้างเก่า และแต่ละที่ก็สามารถดึงเสน่ห์และจุดเด่นของท้องถิ่นในแต่ละเมืองที่ชวนอยากให้เราตีตั๋วเคลียร์คิววันลาแล้วบินไปพักกันเลยทันที ตั้งแต่เมืองเล็กๆ ห่างไกลความเจริญ จนถึงเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก ลอนดอน และอีกมากมาย กับการแปลงโครงสร้างสถาปัตยกรรมเก่าแก่ เพื่อนำเสนอแรงบันดาลใจให้แขกที่เข้าพัก ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าไป
ล่าสุดแบรนด์โรงแรมระดับ Ultra Luxury อย่าง Capella ก็เพิ่งเปิดตัวโปรเจคใหม่ Capella Sydney ที่เปลี่ยน Sandstone Precinct อาคารกระทรวงศึกษาธิการแห่งออสเตรเลียอายุมากกว่า 100 ปีที่ก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 1915 ออกแบบโดย George McRae สถาปนิกชาวออสเตรเลียน ที่ในปัจจุบันตึกเก่าสไตล์ Palazzo นี้ ได้กลายเป็นบ้านหลังใหม่ของความลักชัวรี่ในแบบฉบับของแบรนด์คาเพลล่า พร้อมทีมออกแบบสัญชาติออสเตรเลีย Pontiac Land Group กับเบื้องหลังการเก็บความคลาสสิคมาผสมผสานกับความโมเดิร์นที่ออกมาลงตัวเป็นหนึ่งเดียว
เพราะบริเวณชั้นบนได้มีการต่อเติมด้วยโครงสร้างกระจกแบบโค้งรอบด้านแบบโมเดิร์น ที่ดูกลมกลืนไปกับโครงสร้าง Sandstone สีเหลืองเข้มของตึก และสีเอิร์ทโทนทั้งโปรเจค สำหรับ Capella Sydney จะมีห้องพักทั้งหมด 192 ห้อง ความลักชัวรี่นั้นต่อเนื่องไร้รอยสะดุดตั้งแต่โครงสร้างภายนอกและภายใน เริ่มตั้งแต่ส่วนของล็อบบี้แบบเปิดโล่งเป็นโถงสูงสไตล์ Courtyard รับแสงธรรมชาติ ทุกมุมมีงานศิลปะจากศิลปินท้องถิ่นวางเรียงรายแบบกลมกลืน ที่มีตั้งแต่งานแอนทีคจนงานโมเดิร์นแบบล้ำๆ พื้นที่ตรงนี้จะเป็นที่ตั้งของห้องอาหาร Brasserie 1930 และบาร์ McRae Bar
เมื่อขึ้นมาที่ห้องพักก็จะเจอกับผ้าปูที่นอนจาก Frette แบรนด์เครื่องนอนสัญชาติอิตาลีสุดเก่าแก่ เพราะก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1865 ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในห้องพักจะมาจาก Haeckels แบรนด์เครื่องสำอางแบบออร์แกนิกจากออสเตรเลีย

บริเวณชั้น 6 ถือเป็นไฮไลต์อีกอย่างของโรงแรมนี้เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นที่ตั้งของสระว่ายน้ำอินดอร์ที่สวยเก๋จับใจ ด้วยโครงสร้างหินอ่อนสีขาว และ Facade ปูนสีขาวนวล ตักสลับกับกระเบื้องสีเข้มบริเวณสระว่ายน้ำขนาด 20 เมตร ด้านบนมีกระจกรับแสงธรรมชาติ แน่นอนว่าอีก 2 เอกลักษณ์ของความเป็นแบรนด์คาเพลล่าไม่ว่าจะอยู่ที่ใดบนโลกอย่าง Auriga Spa ก็อยู่ในชั้นนี้ ส่วนของ The Living Room จุดศูนย์กลางของโรงแรมจะอยู่ที่คอร์ทยาร์ดด้านล่าง
พาไปดูโรงแรมใหม่ที่ซิดนีย์แล้ว ขอเขยิบมาใกล้เราสักนิดที่สิงคโปร์ แม้ไม่ได้เพิ่งเปิดบริการเมื่อเร็วๆ นี้แต่ก็ต้องขอพูดถึง เพราะเป็นการพลิกโฉมโกดังเก่าให้กลายเป็นโรงแรมบูธีคสุดเก๋ในย่าน Robertson Quay แถบ River Walk อีกหนึ่งโซนที่หลายคนมองข้าม ส่วนผสมความเป็นเมืองฝรั่ง เมืองเอเชีย และดูจะเป็นย่านอยู่อาศัยมากกว่าย่านท่องถิ่น แม้จะอยู่ถัดจาก Clark Quay เพียงแค่ไม่กี่ก้าว
The Warehouse Hotel ใช้พื้นที่ของโกดังธรรมดาๆ ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปีค.ศ.1895 ถือเป็นมรดกสถาปัตยกรรมจากยุคล่าอาณานิคมเลยก็ว่าได้ พอได้ Asylum และ Zarch Collaborative ทีมออกแบบจากสิงคโปร์มาใส่งานดีไซน์แบบโมเดิร์นเข้าไป ที่นี่เลยกลายเป็นความดิบของวัสดุจากของเดิม ทั้งอิฐ เหล็ก และการตกแต่งที่แทรกด้วยความหรู จนออกมาเป็นความ Luxury Industrial ฝ้าเพดานสูงโปร่ง ซึ่งคว้ารางวัล Hotel of the Year จากเวที AHEAD (Awards for Hospitality Experience and Design) มาได้เมื่อปี 2018
เมื่อเข้ามาที่บริเวณล็อบบี้จะเจอกับความโปร่งโล่ง พร้อมโซฟาหนังขนาดใหญ่ที่ตั้งเรียงราย เน้นโชว์โครงสร้างของหลังคาทรงสูงที่กลายเป็นโลโก้ของแบรนด์ด้วย จากโครงสร้างหลังคาเดิมนี้แหละ ทำให้ห้องพักเพียง 37 ห้อง แต่งต่างไม่ซ้ำกันทั้งหมดตามโครงสร้าง แต่สื่งที่เหมือนกันคืองานดีไซน์ที่ถูกเอามาถ่ายทอดตั้งแต่กำแพง ลายผ้าปู จนถึงแก้วน้ำหรือของตกตแต่งเล็กๆ น้อยๆ ที่มาจากงานฝีมือท้องถิ่นทั้งหมด 
สุดท้ายแล้วที่เราเอาตัวอย่างสองโรงแรมนี้มาให้ดู ก็เพื่อเป็นแรงบันดาลใจพร้อมเปิดโลกว่า โรงแรมและความลักชัวรี่บนโลกนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กับสิ่งของที่จับต้องได้เท่านั้น และไม่ว่าจะเลือกพักโรงแรมประเภทไหนก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมความชอบ รวมถึงกำลังทรัพย์ในกระเป๋า เพียงแค่การที่เราเอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีโครงสร้างและรายละเอียด ที่มาพร้อมเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการดีไซน์หรือเมืองต่างๆ โดยเฉพาะถ้าเราไปในฐานะนักท่องเที่ยว ก็คงอาจจะดีกว่าการนอนอยู่ในห้อง ที่หน้าตาเหมือนกันเหมือนก็อปปี้และวางเป็นร้อยๆ ห้อง

TAG

Related Stories

ด้วยแรงบันดาลใจแรงบันดาลใจสุดพิเศษจากสัญลักษณ์ของความหวังอย่างดวงดาวแห่งเบธเลเฮม ผสานเข้ากับวัฒนธรรมดิสโก้จากยุค 70s อย่างลงตัว
ทั้งเรื่องราวของการดูแลธุรกิจที่กำลังรุ่งโรจน์และครอบครัวที่น่ารัก
จิตวิญญาณของดินแดนอินโดจีนผ่านผู้คน ชุมชน อาหาร และโบราณสถานอันงดงาม ผ่านการเชื่อมโยงของสองรีสอร์ทหรู Amantaka หลวงพระบาง และ Amansara ในเสียมเรียบ
ปีใหม่นี้เตรียมฟังอัลบั้มเต็มชุดใหม่จากผู้ชายคนนี้ได้เลย

Most Viewed

สร้อยทองคำขาวประดับอัญมณีรวม 964 เม็ด รังสรรค์ผ่านระยะเวลากว่า 450 ชั่วโมง
รีสอร์ทหรูแห่งใหม่ที่พร้อมมอบประสบการณ์การพักผ่อนระดับอัลตร้าลักชูรีท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์
สร้อยทองคำขาวประดับอัญมณีรวม 964 เม็ด รังสรรค์ผ่านระยะเวลากว่า 450 ชั่วโมง
รีสอร์ทหรูแห่งใหม่ที่พร้อมมอบประสบการณ์การพักผ่อนระดับอัลตร้าลักชูรีท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์
จิตวิญญาณของดินแดนอินโดจีนผ่านผู้คน ชุมชน อาหาร และโบราณสถานอันงดงาม ผ่านการเชื่อมโยงของสองรีสอร์ทหรู Amantaka หลวงพระบาง และ Amansara ในเสียมเรียบ

MORE FROM

ด้วยแรงบันดาลใจแรงบันดาลใจสุดพิเศษจากสัญลักษณ์ของความหวังอย่างดวงดาวแห่งเบธเลเฮม ผสานเข้ากับวัฒนธรรมดิสโก้จากยุค 70s อย่างลงตัว
ทั้งเรื่องราวของการดูแลธุรกิจที่กำลังรุ่งโรจน์และครอบครัวที่น่ารัก

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว