ซีรีส์ยำใหญ่ของ Ryan Murphy (ผู้สร้างซีรีส์วัยรุ่นชื่อดังอย่าง Glee) ที่ทำให้เราทึ่งได้ทุกฉากทุกซีน โดยเป็นการหยิบเอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง แบบ True Story จากต่างวันต่างวาระ มาปั่นรวมได้อย่างชาญฉลาดและแยบยล ตั้งแต่งานดีเทล เสื้อผ้า หน้าผม เซ็ตติ้ง และแสง-สี-เสียง ที่ทำได้แบบ ‘ถึงเครื่อง’ นั้น ทำให้ Hollywood จากค่าย Netflix นี้ กลายเป็นซีรีส์ซับซ้อน ดราม่า แต่ไม่ถึงกับน้ำตาแตก ที่ควรค่าแก่การดู แบบไม่ต้องสงสัย
https://www.youtube.com/embed/Q3EASLgzOcM” frameborder=”0″ allow=”accelerometer; autoplay; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture” allowfullscreen>
แรงตั้งแต่เริ่มเรื่อง จากชายขายตัว เลิฟซีนแบบดุเดือด ก่อนที่จะกลายเป็นกึ่ง LGBTQ สุดหรรษา แต่ทั้งหมดนั้น ถูกเมอร์ฟีย์รวบใส่เตาหลอมและเทออกมาให้เห็นถึงเหตุผล และที่มาของแรงจูงใจในการกระทำของแต่ละตัวละคร จนทำให้คนดูเข้าใจแบบไม่ต้องคิดนาน

Ryan Murphy ผูกเรื่องทั้งหมดด้วยคำว่า ‘What if’ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าตัวละครต่างกรรม ต่างเรื่องราว ที่ต่างก็เกิดขึ้นในยุคทองของ Hollywood ถูกเอามาผูกไว้ด้วยกัน ผลลัพท์ที่ได้ คือการแฉและเสียดสีวงการจอเงินอเมริกาครั้งใหญ่ ที่จุดหมายปลายทางของเรื่อง คือการเรียกร้องความเท่าเทียม สิทธิ และเสรีภาพที่ไม่มีอยู่จริง ตั้งแต่ยุคก่อนจนถึงปัจจุบัน

Peg Entwistle ไม่ได้มีตัวตนในเรื่อง แต่คือแรงบันดาลใจหลัก โดยดาราสาวที่จบชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตายจากการกระโดดลงมาจากยอดตัว H บนป้าย Hollywood ที่ตอนนั้นยังเป็นคำว่า HOLLYWOODLAND อยู่ เธอจบชีวิตที่น่าหดหู่ในวงการนี้ ด้วยวัยเพียง 24 ปี ซึ่งเมอร์ฟีย์หยิบเอาชื่อของเธอมาเป็นชื่อภาพยนต์ที่ถูกสร้างในเรื่อง นั่นคือ Peg ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Meg

Camille Washington นางเอกผู้มากความสามารถเป็นตัวแทนแห่ง WOC หรือ ‘Women of Color’ ที่ตัวจริงนั้น ได้แรงบันดาลใจมาจาก Lena Horne และ Dorothy Dandridge สาวเก่งผิวสี ที่แม้จะเจิดจรัสแค่ไหน ก็ไม่สามารถก้าวข้ามพรมแดนแห่งความอยุติธรรม และไม่สามารถยกระดับตัวเองให้ขึ้นมาอยู่แถวหน้าในสังคมที่กีดกันยุคนั้นได้

Anna May Wong ดาราจีน-อเมริกันคนแรกของ Hollywood ที่ถูกกีดกันด้วยโครงสร้างแห่งชนชั้นยุคอุตสาหกรรม ตัวแทนของ Yellow Face หรือกลุ่มคนเอเชียที่ตกเป็นบุคคลชั้นลองจากอเมริกันชน ไม่มีสิทธิ์เสมอภาค แม้เธอจะทำได้ดีมากถึงมากที่สุดก็ตาม

Hattie McDaniel สำหรับนักแสดง แอฟริกัน-อเมริกัน ในยุคนั้น จะได้รับบทบาทอะไรในภาพยนตร์ฮอลลีวูด คำตอบก็คือเป็นได้แค่ ‘คนใช้’ ต่อให้เล่นดีแค่ไหน ก็เป็นได้แค่นั้น สำหรับ Hattie McDaniel เธอได้รับบทนี้กว่า 70 ครั้งในชีวิตของเธอ แต่ที่เลวร้ายกว่านั้น เธอเคยชนะเวทีใหญ่อย่าง Oscar ในปี 1940 แต่มันกลายเป็นโศกนาถกรรมที่เลวร้ายสุดเท่าที่ Hollywood เคยมีมา เพราะการประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่12 ได้จัดขึ้นที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ ที่ยังมีนโยบายห้ามคนผิวสีเข้า โดยสิ่งที่เธอทำได้ ก็คือการนั่งรอฟังผลอยู่ด้านนอก

Rock Hudson ดาราชายที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดแห่งยุค พระเอกคู่ขวัญกับ Doris Day, Elizabeth Taylor และ Lauren Bacall แท้จริงคือผู้ชายในยุคนั้นต้อง ‘ใช้ร่างกายเพื่อเข้าสู่วงการ’ จากผู้มีอำนาจมืด โดยบทบาทนี้ได้สื่อถึงตัวแทนหนุ่มซื่อที่อยากสร้างชื่อในวงการฮอลลีวูดและตัวแทนเพศที่สามในยุคที่ต้องปิดบัง

Henry Willson ผู้ถูกขนานนามว่า ‘สัตว์ประหลาดแห่งฮอลลีวูด’ เขาคือเอเจนท์ผู้มีอำนาจมากคนหนึ่งแห่งยุค ดาราชายที่ต้องการก้าวไปข้างหน้า ล้วนถูกเขากระทำชำเราทั้งสิ้น รวมไปถึง Rock Hudson ที่เรื่องจริงนั้นไม่ต่างจากนิยาย หนักกว่าตรงที่ต้องใช้เวลากว่า 20 ปี ถึงจะหลุดจากอำนาจมืดนี้ได้สำเร็จ ถ้านึกไม่ออกว่าทรมานขนาดไหน…. เราว่าเหมือนติดคุกทั้งเป็นเกือบทั้งชีวิตนั่นแหละ

เชื่อว่าหลายคนอยากรู้แล้ว ‘สถานบริการทางเพศชั้นสูง’ ในคราบ ‘Ernie’s Gas Station’ ดินแดนแห่งความฝัน หรือรหัส DreamLand ในเรื่องมีอยู่จริงหรือไม่ คำตอบคือ ‘มี’ แต่ไม่ได้มาในรูปแบบปั๊มน้ำมัน เพราะมันเป็นตัวบุคคลจริง ในนามว่า Scotty Bowers นักธุรกิจเอเจนท์ขายตัว ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นผู้ควบคุมการให้บริการทางเพศที่สุดแสนฉลาดแห่งวงการในยุค Golden Age ถึงขนาดที่ได้รับการกล่าวถึง เป็นผู้จัดหาลูกค้าให้คนในวงการตั้งแต่ Rock Hudson ไปจนถึง Bette Davis

นอกจากนี้ประกอบไปด้วยตัวละครที่อ้างอิงมากจากเรื่องจริงอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Mickey Cohen มาเฟียแห่งฮอลลีวูด, Eleanor Roosevelt ผู้ชี้ทางให้แก่วงการภาพยนตร์, Luise Rainer ดาราสาวผู้ปาดหน้าออสการ์ไปจาก Anna May Wong รวมถึง Dorothy Arzner, Irving Thalberg, George Hurrell, Guy Madison และ Rory Calhoun โดย 2 รายหลัง คือดาราชายในสังกัดเด็กปั้น (ที่ต้องยอมจำนนตัว) ของ Henry Willson นั่นเอง
โดยแก่นแท้ของซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ตีแผ่ความฉาวโฉ่เหม็นเน่าของวงการ Hollywood เพียงแต่อย่างเดียว แต่สอดแทรกเรื่องราวของสิทธิความเท่าเทียม ซึ่งทุกคนที่ได้รับชมจะตระหนักคิดได้ว่าสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นกับโลกที่เราอาศัยอยู่ แม้กระทั่งในปัจจุบันก็ยังไม่จางหายไป

ตัวละครที่เกิดขึ้นในเรื่อง Hollywood ส่วนใหญ่มีอยู่จริง และนี่คือโฉมหน้าของพวกเขาที่ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย








โดยแก่นแท้ของซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ตีแผ่ความฉาวโฉ่เหม็นเน่าของวงการ Hollywood เพียงแต่อย่างเดียว แต่สอดแทรกเรื่องราวของสิทธิความเท่าเทียม ซึ่งทุกคนที่ได้รับชมจะตระหนักคิดได้ว่าสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นกับโลกที่เราอาศัยอยู่ แม้กระทั่งในปัจจุบันก็ยังไม่จางหายไป