ติดตามและรับชมกันจนติดเทรนด์อันดับ 1 ใน Twitter กับ #AppleEvent งานแถลงสุดยิ่งใหญ่ที่สาย Gadget ต้องตั้งตารอคอยราวกับเป็นวาระระดับโลก และนี่คือไฮไลท์สำคัญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่จะออกมาให้เราได้ยลโฉมกันเร็วๆ นี้

เริ่มที่การเปิดตัว iPad mini® ใหม่ที่ทรงพลัง มาพร้อมจอภาพ Liquid Retina® ขนาด 8.3 นิ้ว ที่ใหญ่ขึ้นใน 4 สีสันอันสวยงาม iPad mini ใหม่มาพร้อมชิป A15 Bionic แบบใหม่ล่าสุดที่มอบประสิทธิภาพการทำงานที่เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 80% นี่จึงเป็น iPad mini ที่เปี่ยมความสามารถที่สุดที่เคยมีมา พอร์ต USB-C ใหม่ ให้คุณสามารถเชื่อมต่อได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และรุ่น Cellular ที่มาพร้อม 5G ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับเวิร์กโฟลว์การทำงานแบบเคลื่อนที่ กล้องสุดล้ำใหม่ คุณสมบัติ “จัดให้อยู่ตรงกลาง” และการรองรับ Apple Pencil® (รุ่นที่ 2) ช่วยเปิดประตูสู่วิธีการใหม่ๆ สำหรับผู้ใช้ในการบันทึกภาพและวิดีโอ สื่อสารกับคนสำคัญ และจดไอเดียต่างๆ ที่แล่นเข้ามาในหัว
“ด้วยดีไซน์ที่พกพาสะดวกกว่าครั้งไหนๆ และการใช้งานที่หลากหลาย เริ่มตั้งแต่งานประจำวันต่างๆ ไปจนถึงแอปพลิเคชันสำหรับการสร้างสรรค์ และงานระดับองค์กร นี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้ไม่มีอะไรเหมือน iPad mini” Greg Joswiak รองประธานอาวุโสฝ่าย Worldwide Marketing ของ Apple กล่าว “ด้วยจอภาพ Liquid Retina ใหม่แบบหน้าจอทั้งหมด, การยกระดับประสิทธิภาพให้ทรงพลังเหลือล้น, กล้องสุดล้ำใหม่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง, คุณสมบัติ “จัดให้อยู่ตรงกลาง”, USB-C, 5G และการรองรับ Apple Pencil ทำให้ iPad mini ใหม่เป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดที่ถือได้เหมาะพอดีมือ”
ถัดมาคือ iPad® (รุ่นที่ 9) ใหม่ ที่มาพร้อมชิป A13 Bionic อันทรงพลังซึ่งนำประสิทธิภาพและความสามารถที่เหนือกว่าเดิมมาให้กับ iPad ที่เป็นที่นิยมที่สุด และยังคงมอบอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานตลอดวัน1 เริ่มต้นเพียง 11,400 บาท, iPad ใหม่มาพร้อมจอภาพ Retina® ขนาด 10.2 นิ้ว พร้อมการแสดงผลแบบ True Tone®, กล้องหน้าอัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12MP พร้อมคุณสมบัติ “จัดให้อยู่ตรงกลาง” ทั้งยังรองรับ Apple Pencil (รุ่นที่ 1) และ Smart Keyboard™, iPadOS® 15 ที่ใช้งานง่าย และความจุที่มากกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 2 เท่า
“ไม่เคยมีครั้งไหนที่ iPad จะจำเป็นสำหรับการทำงาน การเรียน และการสื่อสารเท่านี้มาก่อน และเรายังตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งกับการอัปเกรดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับ iPad ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด” Greg Joswiak รองประธานอาวุโสฝ่าย Worldwide Marketing ของ Apple กล่าว “ด้วยชิป A13 Bionic อันทรงพลัง วิดีโอคอลที่น่าสนใจยิ่งขึ้นด้วยคุณสมบัติ “จัดให้อยู่ตรงกลาง” และความจุที่มากกว่าเดิมถึง 2 เท่า iPad ใหม่จึงมาพร้อมความสามารถอันล้ำสมัยความอเนกประสงค์ และความเรียบง่าย ทั้งหมดนี้ในราคาที่ไม่น่าเชื่อ”
นอกจากนี้ยังมีประกาศเปิดตัว Apple Watch® Series 7 ซึ่งมาพร้อมจอภาพ Retina แบบติดตลอดที่ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมขึ้นใหม่ให้มีพื้นที่หน้าจอเพิ่มขึ้นและขอบที่แคบลงอย่างเห็นได้ชัด นี่จึงเป็นจอภาพที่ใหญ่ที่สุดและล้ำหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา การลดขอบให้แคบลงนั้นทำให้เราสามารถขยายจอภาพออกไปจนสุดพื้นที่ โดยที่ขนาดของนาฬิกาแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย ดีไซน์ของ Apple Watch Series 7 ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้สวยงามยิ่งขึ้นด้วยมุมที่โค้งมนกว่าเดิมส่วนจอภาพก็มาพร้อมขอบแบบหักเหแสงอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งทำให้หน้าปัดนาฬิกาและแอปแบบเต็มหน้าจอดูกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับส่วนโค้งของตัวเรือน Apple Watch Series 7 ยังมีอินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่ปรับมาให้เหมาะกับจอภาพขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อทำให้การอ่านและการใช้งานง่ายขึ้นด้วย นอกจากนั้นยังมีหน้าปัดนาฬิกาอีกสองแบบที่ไม่ซ้ำใคร นั่นคือ Contour และ Modular Duo ซึ่งออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์ใหม่นี้โดยเฉพาะ และถึงแม้ว่าจอภาพจะได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพมากมาย แต่ผู้ใช้จะยังคงได้รับประโยชน์จากการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานถึง 18 ชั่วโมงเช่นเดิม1 แถมตอนนี้ยังเสริมด้วยการชาร์จที่เร็วขึ้นถึง 33% ด้วย
Apple Watch Series 7 เป็น Apple Watch ที่ทนทานที่สุดเท่าที่เคยมีมา พร้อมด้านหน้าแบบคริสตัลที่แข็งแกร่งขึ้นและทนการแตกร้าวได้ดีกว่าเดิม และเป็น Apple Watch เรือนแรกที่ผ่านการรับรองความสามารถในการทนฝุ่นที่ระดับ IP6X ขณะที่ยังคงรักษาความสามารถในการทนน้ำไว้ที่ระดับ WR502 Apple Watch Series 7 มาพร้อมตัวเรือนอะลูมิเนียมใน 5 สีใหม่ที่สวยงาม พร้อมด้วยสายในสีสันและสไตล์ใหม่ๆ Apple Watch Series 7 ทุกรุ่นจะวางจำหน่ายภายในปีนี้
“Apple Watch Series 7 มาพร้อมการปรับปรุงครั้งสำคัญ ตั้งแต่จอภาพที่ใหญ่ที่สุดและล้ำหน้าที่สุดของเรา ไปจนถึงความทนทานที่เพิ่มขึ้นและการชาร์จที่เร็วขึ้น ซึ่งก็เท่ากับว่า เราได้ทำให้สมาร์ทวอทช์ที่ดีที่สุดในโลกดียิ่งขึ้นอีก” Jeff Williams, Chief Operating Officer ของ Apple กล่าว “Apple Watch ขับเคลื่อนด้วย watchOS 8 ซึ่งนำความสามารถใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์มาไว้บนนาฬิกา เพื่อช่วยให้ลูกค้าต่อติดกับทุกเรื่อง ติดตามกิจกรรมและการออกกำลังกาย ทั้งยังเข้าใจถึงสุขภาพและความแข็งแรงสมบูรณ์โดยรวมของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น”

ที่สุดของไฮไลท์คือการเปิดตัว เปิดตัว iPhone 13 และ iPhone 13 mini ที่ครั้งนี้โดดเด่นด้วยดีไซน์ขอบแบนที่เพรียวบางใน 5 สีสันใหม่ที่สวยงาม โดยทั้งสองรุ่นมาพร้อมนวัตกรรมอันน่าทึ่ง ตั้งแต่ระบบกล้องคู่ที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone ซึ่งมีกล้องไวด์ใหม่พร้อมพิกเซลที่ใหญ่ขึ้นและระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล (OIS) ที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ เพื่อการถ่ายภาพและวิดีโอในสภาวะแสงน้อยที่ดียิ่งขึ้น รวมถึงวิธีใหม่สำหรับปรับแต่งกล้องในสไตล์ของตัวเองอย่าง “สไตล์ภาพถ่าย” และโหมดภาพยนตร์ที่จะเปิดมิติใหม่ของการเล่าเรื่องด้วยวิดีโอ นอกจากนี้ iPhone 13 และ iPhone 13 mini ยังมีชิป A15 Bionic ที่เร็วสุดขั้วและประหยัดพลังงานเป็นเยี่ยม, แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้น, จอภาพ Super Retina XDR ที่สว่างขึ้นเพื่อคอนเทนต์ที่มีชีวิตชีวา, ด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ที่แข็งแกร่งทนทาน, พื้นที่จัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 128GB สำหรับรุ่นเริ่มต้น, ความสามารถในการทนน้ำที่ระดับ IP68 ชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรม และประสบการณ์ 5G สุดล้ำ
iPhone 13 และ iPhone 13 mini จะวางจำหน่ายในสีชมพู, น้ำเงิน, มิดไนท์, สตาร์ไลท์ และรุ่น (PRODUCT) RED1
“ลูกค้าของเราใช้งาน iPhone เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน และนั่นคือเหตุผลที่เราสร้าง iPhone 13 และ iPhone 13 mini ให้ทรงพลังยิ่งขึ้น มากความสามารถยิ่งขึ้น และใช้งานสนุกยิ่งขึ้นด้วย” Greg Joswiak รองประธานอาวุโสฝ่าย Worldwide Marketing ของ Apple กล่าว “โทรศัพท์ทั้งสองรุ่นมีดีไซน์ที่สวยงาม ประสิทธิภาพชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรม รวมถึงระบบกล้องคู่สุดล้ำที่มาพร้อมคุณสมบัติด้านการประมวลผลภาพถ่ายอันน่าประทับใจ และยังทนทานเหลือเชื่อ ทนน้ำได้ แถมแบตเตอรี่ยังใช้งานได้นานยิ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด จึงมั่นใจได้เลยว่าลูกค้าจะสามารถพึ่งพา iPhone ได้ทุกเวลาที่ต้องการ และทั้งหมดนี้ยังทำงานร่วมกับ iOS 15 เป็นหนึ่งเดียวโดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวอยู่เสมอ ทำให้ iPhone 13 และ iPhone 13 mini เป็นตัวเลือกที่ยากจะหาใครเทียบ”

ยังมีอีก 2 รุ่นสำหรับ iPhone 13 ซึ่งก็คือ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ระบบกล้องระดับโปรที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone, จอภาพ Super Retina XDR พร้อม ProMotion, แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้นแบบก้าวกระโดด, ชิปที่เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟนอย่าง A15 Bionic, ประสบการณ์ 5G สุดล้ำ และอีกมากมายที่จะขยายขอบเขตของคำว่าเป็นไปได้ในสมาร์ทโฟน โดยที่ทั้งสองรุ่นได้รับการออกแบบใหม่ตั้งแต่ภายในจรดภายนอก อีกทั้งยังมีจอภาพ Super Retina XDR® แบบใหม่หมดพร้อมด้วย ProMotion® ซึ่งมีอัตราการดึงข้อมูลใหม่แบบปรับได้สูงสุด 120Hz เพื่อประสบการณ์ในการสัมผัสที่รวดเร็วและตอบสนองทันใจยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบกล้องระดับโปรที่ล้ำหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งกล้องอัลตร้าไวด์ ไวด์ และเทเลโฟโต้ใหม่ ซึ่งสามารถถ่ายภาพและวิดีโอได้อย่างสวยงามน่าทึ่งโดยมีชิป A15 Bionic ที่มีประสิทธิภาพเหนือชั้นเป็นหัวใจสำคัญ เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้เกิดความสามารถใหม่ๆ ด้านภาพถ่ายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนบน iPhone อย่างการถ่ายภาพมาโครด้วยกล้องอัลตร้าไวด์ใหม่ และประสิทธิภาพในสภาวะแสงน้อยที่ดีขึ้นสูงสุด 2.2 เท่าบนกล้องไวด์ใหม่ รวมถึงคุณสมบัติด้านการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์ อย่าง “สไตล์ภาพถ่าย” ที่จะปรับแต่งภาพในแอปกล้องออกมาในแบบที่ผู้ใช้ต้องการ และโหมดกลางคืนที่ใช้งานได้กับทุกกล้อง อีกทั้งยังมี “โหมดภาพยนตร์” ที่จะเปลี่ยนมิติระยะชัดลึกอย่างสวยงาม ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญสำหรับวิดีโอ การถ่ายวิดีโอแบบมาโคร ไทม์แลปส์ และสโลว์โมชั่น แล้วยังถ่ายวิดีโอในสภาวะแสงน้อยได้ดียิ่งขึ้นด้วย ยิ่งกว่านั้นทั้งสองรุ่นยังมีเวิร์กโฟลว์ระดับโปรในแบบ Dolby Vision ตั้งแต่ต้นจนจบ และเป็นครั้งแรกที่รองรับ ProRes ด้วย ซึ่งมีเฉพาะบน iPhone เท่านั้น นอกจากนี้ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ยังมาพร้อม 5G ที่รองรับย่านความถี่มากขึ้นเพื่อการใช้งานที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น, แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้นมากจนเรียกได้ว่านานที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone กับ iPhone 13 Pro Max, พื้นที่จัดเก็บข้อมูลความจุใหม่ที่ 1TB และด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ซึ่งแข็งแกร่งกว่ากระจกสมาร์ทโฟนไหนๆ
iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะมีจำหน่ายใน 4 สีสันสวยงาม ได้แก่ สีกราไฟต์, ทอง, เงิน และเซียร์ร่าบลูใหม่
“iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ทำให้เรามีกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone ที่โปรที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะมีทั้งระบบกล้องที่ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่สุด รวมถึงแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน iPhone และประสิทธิภาพที่เร็วที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟน เรียกว่าเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับ iPhone และเปิดประสบการณ์อันน่าทึ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นไปได้มาก่อน” Greg Joswiak ซึ่งเป็นรองประธานอาวุโสฝ่าย Worldwide Marketing ของ Apple กล่าว “ระบบกล้องระดับโปรใหม่นี้มาพร้อมความสามารถในการถ่ายภาพที่โปรยิ่งขึ้น อย่างการซูมด้วยเทเลโฟโต้ที่ดียิ่งขึ้น การถ่ายภาพมาโคร สไตล์ภาพถ่าย โหมดภาพยนตร์ รวมถึงวิดีโอ ProRes และ Dolby Vision นอกจากนี้ยังมีจอภาพ Super Retina XDR พร้อม ProMotion ซึ่งเป็นจอภาพที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยมีมา เพราะตอบสนองต่อคอนเทนต์ที่อยู่บนหน้าจอได้อย่างชาญฉลาด และมีประสิทธิภาพด้านกราฟิกที่เหนือชั้น เหมาะสำหรับประสบการณ์ด้านภาพทุกรูปแบบ”
ไม่เพียงแต่เหล่า Gadget เท่านั้น Apple ยังเปิดเผยถึงบริการสุดล้ำอย่าง Apple Fitness+℠ ซึ่งเป็นบริการด้านฟิตเนสบริการแรกที่สร้างขึ้นโดยอิงกับ Apple Watch® ทั้งหมดจะเปิดตัวการทำสมาธิแบบมีคำแนะนำแนวทาง วิธีง่ายๆ ในการฝึกสมาธิทุกที่ทุกเวลาและพิลาทิสซึ่งเป็นการออกกำลังกายแบบแรงกระแทกต่ำที่ช่วยเสริมสมรรถภาพของร่างกายในวันที่ 27 กันยายน นอกจากนี้ Fitness+ จะเปิดตัวโปรแกรมใหม่ในชื่อว่า “การออกกำลังกายเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับฤดูหนาว (Workouts to Get Ready for Snow Season)” ซึ่งนำโดย Ted Ligety เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัยและนักเล่นสกีแชมป์โลก 5 สมัยพร้อมด้วย Anja Garcia ผู้ฝึกสอนของ Fitness+ โปรแกรมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกีฬาฤดูหนาวนี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ความสมดุล และความอดทนเพื่อให้ผู้ใช้ได้สนุกกับการเล่นสกีบนทางลาดมากขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ
ในปลายปีนี้ Fitness+ จะเปิดตัวการออกกำลังกายแบบกลุ่มด้วย SharePlay™ ซึ่งผู้ใช้สามารถออกกำลังกายกับเพื่อนได้มากถึง 32 คนในคราวเดียวเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กันและกัน และภายในปีนี้ Fitness+ จะขยายการให้บริการไปยัง 15 ประเทศใหม่ ได้แก่ ออสเตรีย บราซิล โคลอมเบีย ฝรั่งเศส เยอรมนี อินโดนีเซีย อิตาลี มาเลเซีย เม็กซิโก โปรตุเกส รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย สเปน สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ Fitness+ จะมีให้บริการเป็นภาษาอังกฤษพร้อมคำบรรยายใน 6 ภาษา เพื่อให้ผู้คนทั่วโลกสามารถสัมผัสประสบการณ์การออกกำลังกายที่นำโดยทีมผู้ฝึกสอนที่หลากหลายและครอบคลุมได้มากกว่าที่เคย พร้อมด้วยแนวทางที่เหมาะสำหรับทุกคนและทุกระดับความแข็งแรงของร่างกาย
“ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้น กำลังอยากลองอะไรใหม่ๆ หรือกำลังเปลี่ยนวิธีฝึกสมาธิและร่างกาย ทีมผู้ฝึกสอนชั้นยอดของ Fitness+ ก็พร้อมต้อนรับและช่วยเหลือผู้ใช้ทุกคนให้ได้ใช้ชีวิตในรูปแบบที่ดีต่อสุขภาพโดยไม่แบ่งแยกว่าคุณจะอยู่ ณ จุดไหนในเส้นทางการออกกำลังกาย” Jay Blahnik ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเทคโนโลยีฟิตเนสของ Apple กล่าว “เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะแนะนำให้คุณรู้จักกับการออกกำลังกายใหม่ๆ ซึ่งจะมอบตัวเลือกเพิ่มเติมให้แก่ผู้ใช้ Fitness+ ได้รักษาร่างกายให้แข็งแรงและมีแรงผลักดันอยู่เสมอ ส่วนประสบการณ์การทำสมาธิแบบมีคำแนะนำแนวทางก็ถูกสร้างมาให้ทุกคนเข้าถึงได้ และเข้ากับชีวิตประจำวันด้วยเช่นเดียวกัน วิธีออกกำลังกายใหม่ๆ ทั้งแบบกลุ่มและแบบเดี่ยวที่กำลังจะเปิดให้บริการเพิ่มในหลายประเทศปลายปีนี้ ทำให้เราตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อนรับผู้คนให้มาสัมผัสประสบการณ์การใช้งาน Fitness+ มากขึ้น โดย Apple Fitness+℠ จะเปิดให้บริการในวันที่ 27 กันยายนนี้

“ด้วยดีไซน์ที่พกพาสะดวกกว่าครั้งไหนๆ และการใช้งานที่หลากหลาย เริ่มตั้งแต่งานประจำวันต่างๆ ไปจนถึงแอปพลิเคชันสำหรับการสร้างสรรค์ และงานระดับองค์กร นี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้ไม่มีอะไรเหมือน iPad mini” Greg Joswiak รองประธานอาวุโสฝ่าย Worldwide Marketing ของ Apple กล่าว “ด้วยจอภาพ Liquid Retina ใหม่แบบหน้าจอทั้งหมด, การยกระดับประสิทธิภาพให้ทรงพลังเหลือล้น, กล้องสุดล้ำใหม่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง, คุณสมบัติ “จัดให้อยู่ตรงกลาง”, USB-C, 5G และการรองรับ Apple Pencil ทำให้ iPad mini ใหม่เป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดที่ถือได้เหมาะพอดีมือ”

ถัดมาคือ iPad® (รุ่นที่ 9) ใหม่ ที่มาพร้อมชิป A13 Bionic อันทรงพลังซึ่งนำประสิทธิภาพและความสามารถที่เหนือกว่าเดิมมาให้กับ iPad ที่เป็นที่นิยมที่สุด และยังคงมอบอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานตลอดวัน1 เริ่มต้นเพียง 11,400 บาท, iPad ใหม่มาพร้อมจอภาพ Retina® ขนาด 10.2 นิ้ว พร้อมการแสดงผลแบบ True Tone®, กล้องหน้าอัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12MP พร้อมคุณสมบัติ “จัดให้อยู่ตรงกลาง” ทั้งยังรองรับ Apple Pencil (รุ่นที่ 1) และ Smart Keyboard™, iPadOS® 15 ที่ใช้งานง่าย และความจุที่มากกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 2 เท่า
“ไม่เคยมีครั้งไหนที่ iPad จะจำเป็นสำหรับการทำงาน การเรียน และการสื่อสารเท่านี้มาก่อน และเรายังตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งกับการอัปเกรดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับ iPad ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด” Greg Joswiak รองประธานอาวุโสฝ่าย Worldwide Marketing ของ Apple กล่าว “ด้วยชิป A13 Bionic อันทรงพลัง วิดีโอคอลที่น่าสนใจยิ่งขึ้นด้วยคุณสมบัติ “จัดให้อยู่ตรงกลาง” และความจุที่มากกว่าเดิมถึง 2 เท่า iPad ใหม่จึงมาพร้อมความสามารถอันล้ำสมัยความอเนกประสงค์ และความเรียบง่าย ทั้งหมดนี้ในราคาที่ไม่น่าเชื่อ”

Apple Watch Series 7 เป็น Apple Watch ที่ทนทานที่สุดเท่าที่เคยมีมา พร้อมด้านหน้าแบบคริสตัลที่แข็งแกร่งขึ้นและทนการแตกร้าวได้ดีกว่าเดิม และเป็น Apple Watch เรือนแรกที่ผ่านการรับรองความสามารถในการทนฝุ่นที่ระดับ IP6X ขณะที่ยังคงรักษาความสามารถในการทนน้ำไว้ที่ระดับ WR502 Apple Watch Series 7 มาพร้อมตัวเรือนอะลูมิเนียมใน 5 สีใหม่ที่สวยงาม พร้อมด้วยสายในสีสันและสไตล์ใหม่ๆ Apple Watch Series 7 ทุกรุ่นจะวางจำหน่ายภายในปีนี้
“Apple Watch Series 7 มาพร้อมการปรับปรุงครั้งสำคัญ ตั้งแต่จอภาพที่ใหญ่ที่สุดและล้ำหน้าที่สุดของเรา ไปจนถึงความทนทานที่เพิ่มขึ้นและการชาร์จที่เร็วขึ้น ซึ่งก็เท่ากับว่า เราได้ทำให้สมาร์ทวอทช์ที่ดีที่สุดในโลกดียิ่งขึ้นอีก” Jeff Williams, Chief Operating Officer ของ Apple กล่าว “Apple Watch ขับเคลื่อนด้วย watchOS 8 ซึ่งนำความสามารถใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์มาไว้บนนาฬิกา เพื่อช่วยให้ลูกค้าต่อติดกับทุกเรื่อง ติดตามกิจกรรมและการออกกำลังกาย ทั้งยังเข้าใจถึงสุขภาพและความแข็งแรงสมบูรณ์โดยรวมของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น”


iPhone 13 และ iPhone 13 mini จะวางจำหน่ายในสีชมพู, น้ำเงิน, มิดไนท์, สตาร์ไลท์ และรุ่น (PRODUCT) RED1
“ลูกค้าของเราใช้งาน iPhone เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน และนั่นคือเหตุผลที่เราสร้าง iPhone 13 และ iPhone 13 mini ให้ทรงพลังยิ่งขึ้น มากความสามารถยิ่งขึ้น และใช้งานสนุกยิ่งขึ้นด้วย” Greg Joswiak รองประธานอาวุโสฝ่าย Worldwide Marketing ของ Apple กล่าว “โทรศัพท์ทั้งสองรุ่นมีดีไซน์ที่สวยงาม ประสิทธิภาพชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรม รวมถึงระบบกล้องคู่สุดล้ำที่มาพร้อมคุณสมบัติด้านการประมวลผลภาพถ่ายอันน่าประทับใจ และยังทนทานเหลือเชื่อ ทนน้ำได้ แถมแบตเตอรี่ยังใช้งานได้นานยิ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด จึงมั่นใจได้เลยว่าลูกค้าจะสามารถพึ่งพา iPhone ได้ทุกเวลาที่ต้องการ และทั้งหมดนี้ยังทำงานร่วมกับ iOS 15 เป็นหนึ่งเดียวโดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวอยู่เสมอ ทำให้ iPhone 13 และ iPhone 13 mini เป็นตัวเลือกที่ยากจะหาใครเทียบ”


iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะมีจำหน่ายใน 4 สีสันสวยงาม ได้แก่ สีกราไฟต์, ทอง, เงิน และเซียร์ร่าบลูใหม่
“iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ทำให้เรามีกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone ที่โปรที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะมีทั้งระบบกล้องที่ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่สุด รวมถึงแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน iPhone และประสิทธิภาพที่เร็วที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟน เรียกว่าเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับ iPhone และเปิดประสบการณ์อันน่าทึ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นไปได้มาก่อน” Greg Joswiak ซึ่งเป็นรองประธานอาวุโสฝ่าย Worldwide Marketing ของ Apple กล่าว “ระบบกล้องระดับโปรใหม่นี้มาพร้อมความสามารถในการถ่ายภาพที่โปรยิ่งขึ้น อย่างการซูมด้วยเทเลโฟโต้ที่ดียิ่งขึ้น การถ่ายภาพมาโคร สไตล์ภาพถ่าย โหมดภาพยนตร์ รวมถึงวิดีโอ ProRes และ Dolby Vision นอกจากนี้ยังมีจอภาพ Super Retina XDR พร้อม ProMotion ซึ่งเป็นจอภาพที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยมีมา เพราะตอบสนองต่อคอนเทนต์ที่อยู่บนหน้าจอได้อย่างชาญฉลาด และมีประสิทธิภาพด้านกราฟิกที่เหนือชั้น เหมาะสำหรับประสบการณ์ด้านภาพทุกรูปแบบ”

ในปลายปีนี้ Fitness+ จะเปิดตัวการออกกำลังกายแบบกลุ่มด้วย SharePlay™ ซึ่งผู้ใช้สามารถออกกำลังกายกับเพื่อนได้มากถึง 32 คนในคราวเดียวเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กันและกัน และภายในปีนี้ Fitness+ จะขยายการให้บริการไปยัง 15 ประเทศใหม่ ได้แก่ ออสเตรีย บราซิล โคลอมเบีย ฝรั่งเศส เยอรมนี อินโดนีเซีย อิตาลี มาเลเซีย เม็กซิโก โปรตุเกส รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย สเปน สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ Fitness+ จะมีให้บริการเป็นภาษาอังกฤษพร้อมคำบรรยายใน 6 ภาษา เพื่อให้ผู้คนทั่วโลกสามารถสัมผัสประสบการณ์การออกกำลังกายที่นำโดยทีมผู้ฝึกสอนที่หลากหลายและครอบคลุมได้มากกว่าที่เคย พร้อมด้วยแนวทางที่เหมาะสำหรับทุกคนและทุกระดับความแข็งแรงของร่างกาย
“ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้น กำลังอยากลองอะไรใหม่ๆ หรือกำลังเปลี่ยนวิธีฝึกสมาธิและร่างกาย ทีมผู้ฝึกสอนชั้นยอดของ Fitness+ ก็พร้อมต้อนรับและช่วยเหลือผู้ใช้ทุกคนให้ได้ใช้ชีวิตในรูปแบบที่ดีต่อสุขภาพโดยไม่แบ่งแยกว่าคุณจะอยู่ ณ จุดไหนในเส้นทางการออกกำลังกาย” Jay Blahnik ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเทคโนโลยีฟิตเนสของ Apple กล่าว “เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะแนะนำให้คุณรู้จักกับการออกกำลังกายใหม่ๆ ซึ่งจะมอบตัวเลือกเพิ่มเติมให้แก่ผู้ใช้ Fitness+ ได้รักษาร่างกายให้แข็งแรงและมีแรงผลักดันอยู่เสมอ ส่วนประสบการณ์การทำสมาธิแบบมีคำแนะนำแนวทางก็ถูกสร้างมาให้ทุกคนเข้าถึงได้ และเข้ากับชีวิตประจำวันด้วยเช่นเดียวกัน วิธีออกกำลังกายใหม่ๆ ทั้งแบบกลุ่มและแบบเดี่ยวที่กำลังจะเปิดให้บริการเพิ่มในหลายประเทศปลายปีนี้ ทำให้เราตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อนรับผู้คนให้มาสัมผัสประสบการณ์การใช้งาน Fitness+ มากขึ้น โดย Apple Fitness+℠ จะเปิดให้บริการในวันที่ 27 กันยายนนี้
ข้อมูลจาก Apple Thailand
#BAZAARLifestyle #BAZAARTech #BAZAARGadget #Gadget #Smartphone #AppleEvent2021