แม้เราจะไม่ใช้แฟนพันธุ์แท้ของแฟรนไชส์ “ผีชีวะ” หรือ “Bioharzard” ตามชื่อต้นฉบับของ Capcom จากญี่ปุ่น หรือ “Resident Evil” ตามชื่อที่ฝรั่งมังค่าเอามาดัดแปลงจนดังเป็นพลุแตกไปหลายภาค แต่ก็ต้องยอมรับว่าได้เล่นเกมมาหลายภาคและดูหนังเวอร์ชั่นคนแสดงของแฟรนไชส์ชุดนี้มาหมดแล้วทุกภาค ดังนั้นเมื่อ Netflix ประกาศว่าจะทำ Resident Evil เวอร์ชั่นของตัวเอง เราก็ตั้งตารอดูจนเมื่อฉายจริงเมื่อ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก็ดูรวดเดียวจบไปเลย 8 ตอนรวดทั้งๆ ตั้งใจจะดูแค่ตอนเปิดตัวตอนแรกก่อนเท่านั้น ว่าแต่มันสนุกขนานนั้นเลยหรือ………..ก็ไม่เสียทีเดียว
https://youtube.com/watch?v=uIdjcDTc9VkNetflix เล่าเรื่อง Resident Evil ออกมาผ่านครอบครัวของ Albert Wesker (Lance Reddick) หัวหน้านักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของ Umbrella Corporation ที่ทำงานภายใต้ผู้บริหารสาวเลือดเย็น Evelyn Marcus (Paola Nuñez) ทายาทขององค์กรนี้ Wesker ย้ายมาทำงานที่เมือง New Raccoon City พร้อมลูกสาวฝาแฝดสองคนคือ Billie (Adeline Rudolph แสดงตอนโด และ Siena Agudong แสดงตอนเด็ก) และ Jade (Ella Balinska แสดงตอนโต และ Tamara Smart แสดงตอนเด็ก) ที่เกิดจากการอุ้มบุญคนละแม่ ทำให้ได้ลูกออกมาเป็นผิวสี 1 คนคือ Jade และเอเชียน 1 คนคือ Billie โดยที่สองสาวนี้ก็ไม่ค่อยลงรอยกับพ่อนักอันเนื่องมาจากการต้องย้ายที่อยู่ และความอยากรู้อยากเห็นของทั้งสองคนนี้ที่มีต่อ Umbrella Corporation ก็คือจุดเริ่มต้นของหายนะครั้งใหม่ที่รอการอุบัติขึ้น
การเล่าเรื่องของ Resident Evil เวอร์ชั่นนี้ตัดสลับไปมาระหว่างชีวิตในวัยเด็กของ Jade สมัยที่เธอยังอยู่ที่ New Raccoon City สลับกับภาคชีวิตปัจจุบันของเธอที่ออกมาใช้ชีวิตกับชาว Library กลุ่มคนที่คอยเก็บเศษซากอารยธรรมของมนุษยชาติในยุคก่อนซอมบี้ครองโลกมาไว้ เพื่อว่าหากวันนึงสามารถหาวิธีอยู่ร่วมกับซอมบี้หรือกำจัดซอมบี้ได้แล้ว คลังความรู้ทั้งหมดที่พวกเขาสะสมมาก็จะนำไปสร้างโลกใหม่ได้อีกครั้ง

Jade อาสาออกมาศึกษาพฤติกรรมของซอมบี้ (ในเรื่องเรียกว่า Zero) เพื่อเรียนรู้และหาทางรับมือกับพวกมัน ก่อนจะโดนตามไล่ล่าจาก Umbrella และรอดมาได้ด้วยความช่วยเหลือของพวกลัทธิคลั่งแห่งหนึ่งที่จะจับคนเป็นๆ ไปสังเวยให้กับซอมบี้ที่หัวหน้าลัทธิแห่งนี้สังเกตุเห็นว่าสามารถใช้งานซอมบี้ได้หากควบคุมราชินีซอมบี้ได้ ที่แห่งนี้เองที่ Jade ได้เรียนรู้และตระหนักว่าไวรัสที่ทำให้คนกลายเป็นซอมบี้นั้นได้วิวัฒนาการแล้ว และเธอก็สู้จนหลุดจากการจับกุมของชาวลัทธิและฆ่าราชินีซอมบี้ได้สำเร็จ จนนำเอาซากราชินีซอมบี้มาศึกษาและพบว่าสามารถนำเอาเซลล์บางส่วนไปสกัดเป็นกลิ่นเพื่อพรางตัวไม่ให้ซอมบี้ได้กลิ่นและไม่ทำร้ายได้ (ซอมบี้ในเรื่องตาบอด ใช้ประสาทสัมผัสจากการดมกลิ่นเพื่อค้นหาเหยื่อในการแพร่เชื้อ)
จุดไคลแมกซ์ของซีรีส์ชุดนี้ในซีซันแรกอยู่ที่ความลับของ Albert Wesker ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นเพียงร่างโคลน หนึ่งในสามร่าง (เท่าที่ปรากฏในซีซันแรก) ของ Albert Wesker ตัวจริง และเมื่อ Albert Wesker ถูกฆ่าตาย หนึ่งในร่างโคลนก็ต้องขึ้นมาทำงานแทนโดยที่ Evelyn Marcus ก็รู้เห็นเรื่องนี้ด้วย ร่างโคลนนั้นมีข้อจำกัดเรื่องอายุสั้น ต้องใช้ DNA สดๆ ของตัวเองเพื่อเติมพลัง Albert Wesker ร่างโคลนจึงทำการหาแม่อุ้มบุญมาเพื่อให้กำเนิดแหล่งพลังงานของเขานั้นก็คือ Jade และ Billie ซึ่งแน่นอนว่า Evelyn ก็รู้เรื่องนี้อีกเช่นกัน เมื่อความลับของทุกคนถูกเปิดเผย ความวุ่นวายและหายยนะก็เกิดขึ้น
ความงุนงงที่เราได้เกริ่นไปก่อนหน้ามันอยู่ที่วิธีการเล่าเรื่องและพัฒนาการของตัวละคร อย่างแรกคือนอกจากชื่อเมืองและชื่อตัวละครแล้ว ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องหรือให้อารมณ์ Resident Evil ในเวอร์ชั่นใดๆ เลย และพัฒนาการของตัวละครที่ดูอารมณ์ไม่มันคงตลอดเวลา เดี๋ยวคุ้มดีเดี๋ยวคุ้มร้ายก็ทำให้เราไม่ “อิน” และไม่อยากเอาใจช่วยเมื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้น กลับมารอการเฉลยปมต่างๆ ที่ผูกไว้มากมายในเรื่องแทน และนั้นก็เป็นอีกปัญหาเมื่อผูกไว้หลายปมแต่คลี่คลายออกมาได้ไม่สมเหตุสมผลก็พาลทำให้เราเบื่อได้ง่ายๆ

Resident Evil Series by Netflix ไม่ได้เน้นฉากแอคชั่นหรือฉากมอนเตอร์หน้าตาประหลาดเหมือน Resident Evil ที่เราคุ้นเคย แต่ข้ามมาพูดถึงประเด็นโลก Dystopia, Utopia ผ่านการกระทำฉากหน้าของ Umbrella ว่าอยากสร้างโลกแห่งความผาสุขแต่แท้จริงแล้วก็คืออยากเป็นผู้คุมโลกเสียเอง และยังเน้นความสัมพันธ์พ่อลูกแบบอภิปรัชญญาว่าด้วยเรื่องการโคลนนิ่งอีกต่างหาก ซึ่งทั้งหมดผู้ชมและแฟนๆ RE อาจจะสนุกกว่านี้ก็ได้หากซีรีส์เรื่องนี้สร้างขึ้นโดยใช้ชื่ออื่นที่ไม่เกี่ยวอะไรกับ RE เลย และเหตุผลเดียวที่เราดู 8 ตอนรวดก็เพราะอยากรู้ว่าจะคลายปมต่างๆ อย่างไรในเมื่อเดินเรื่องมาในแนวทางนี้แล้ว ซึ่งพอถึง Season Finale ก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วต้องถามตัวเองว่า ถ้ามีซีซัน 2 จะอดทนดูต่อดีไหมเนี้ย
*Update ล่าสุดเมื่อคืนที่ผ่านมา (26 สิงหาคม) ก็มีรายงานแล้วว่า Netflix ยกเลิกการทำซีซั่นตอนไปของซีรีส์ชุดนี้แล้วเรียบร้อย หลังจากการแสตอบรับไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่