จากประเด็นร้อนเรื่องความสัมพันธ์ซึ่งเป็นที่พูดถึงมากที่สุดในขณะนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าแมท-ภีรนีย์ คงไทยจะทำอะไรก็กลายเป็นที่จับจ้องไปทุกย่างก้าว ในการให้สัมภาษณ์กับเราครั้งนี้นอกจากเธอจะมาเผยความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เธอยังได้แสดงให้เราเห็นถึงตัวตนด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปร่วมงานกับเราที่โตเกียว ความทุ่มเทให้กับผลงานละครเรื่องใหม่ ‘ลิขิตรักข้ามดวงดาว’ รวมถึงการค้นพบสันติสุขในจิตใจท่ามกลางกระแสอื้ออึงรอบตัวเธอ ซึ่งบอกได้เลยว่าน่าสนใจและควรค่าแก่การพูดถึงไม่แพ้กัน รอชมแฟชั่นเซ็ตสุดอลังการของเธอได้ในนิตยสารฉบับธันวาคมน้ี

Harper’s Bazaar: แมทได้เป็นตัวแทนบาซาร์ประเทศไทยไปร่วมงาน Bazaar Icons 2018 in Tokyo ถึงที่ญี่ปุ่น เป็นอย่างไรบ้าง ช่วยเล่าถึงประสบการณ์ครั้งนี้ให้เราฟังหน่อย?
Matt: เป็นครั้งแรกของแมทที่ได้ออกไปทำงานเกี่ยวกับแฟชั่นที่ต่างประเทศ แถมยังเป็นงานที่ดูดีมาก ค่อนข้างยิ่งใหญ่และมีเกียรติ ก็เลยตื่นเต้นมากและยังถือเป็นโอกาสที่ดีในชีวิตค่ะ ได้เจอคนดังหลายๆ ท่านที่พี่ดวง (บรรณาธิการบริหารของเรา) แนะนำให้รู้จัก อย่างคารีน รอยท์เฟลด์ (Carine Roitfeld) ซึ่งเป็นโกลบัลแฟชั่นไดเร็กเตอร์ของบาซาร์และเป็นผู้มีอิทธิพลด้านแฟชั่นคนหนึ่งของโลก เขาเป็นคนชิคและเป็นตัวจริงแห่งวงการ ในโอกาสนี้เขายังไปเปิดตัวหนังสือใหม่ CR Fashion Book Japan ซึ่งเราก็ไปต่อคิวขอลายเซ็นเป็นแฟนคลับมาเหมือนกันค่ะ นอกจากนั้นยังเจอนางแบบญี่ปุ่นที่เราคุ้นหน้าค่าตาอีกเยอะเลยค่ะ ส่วนกิจกรรมภายในงานแมทก็ได้เดินพรมดำออกไปถ่ายรูปหน้างาน ก่อนกลับเข้ามาพูดคุยกับหลายๆ ท่าน มีคอนเสิร์ตของ Char มือกีต้าร์รุ่นเก๋าของญี่ปุ่น เราไม่รู้จักเขามาก่อนแต่เล่นสนุกมาก ปาร์ตี้มันส์มาก ทุกคนเต้น ถ่ายรูป และเอ็นจอยกันจริงๆ ถือเป็นงานที่หรูหราแต่ก็อบอุ่นและน่ารักมากในเวลาเดียวกัน อาหารก็อร่อยค่ะ
HB: ผลงานของแมทที่ผู้คนพูดถึงและรอติดตามมากที่สุดในขณะนี้คงหนีไม่พ้น ‘ลิขิตรักข้ามดวงดาว’ ที่ดัดแปลงมาจาก ‘You Who Came from the Stars’ ซีรีส์เกาหลีที่คนฮิตดูกันทั่วบ้านทั่วเมืองมาแล้ว บรรยากาศการถ่ายทำและความท้าทายของบทบาทในครั้งนี้เป็นอย่างไร?
M: เป็นเรื่องที่เราซื้อลิขสิทธิ์มาจากเกาหลี ผู้จัดคือพี่หน่อง (อรุโณชา ภาณุพันธุ์) จากค่ายบอร์ดคาสต์ และผู้กำกับคือพี่ใหม่ (ภวัต พนังคศิริ) (ทั้งสองท่านยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของละครฮิตแห่งปีอย่าง ‘บุพเพสันนิวาส’ อีกด้วย) เนื้อเรื้องคล้ายเดิมแต่มีการปรับแต่งให้เข้ากับคนไทย ถือเป็นละครเรื่องใหญ่ของช่องสามที่จะปิดกล้องสิ้นปี และน่าจะได้ดูกันเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าค่ะ ซึ่งบทของนางเอกหรือ ‘ซอนซงอี’ ที่ในเวอร์ชั่นไทยจะกลายเป็น ‘ฟ้าลดา’ นี้มันมีความไอคอนิก คนดูก็คาดหวังว่าจะต้องออกมาดี ออกมาสนุก ซึ่งก็เป็นความท้าทายของเราแล้วที่จะต้องเล่นให้ถึงไม่งั้นจะดูวันนาบีได้ ความหนักใจอยู่ที่การเปรียบเทียบไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแสดง เสื้อผ้าหน้าผม บริบทต่างๆ ในเรื่อง รวมถึงสถานที่ที่ใช้ถ่ายทำ ซึ่งหลักๆ คือคอนโดของพระเอกนางเอกที่เราได้เนรมิตสร้างใหม่หมดเลย ลงทุนไปมากจริงๆ ให้ออกมาคล้ายที่สุด เราก็ทำใจว่าต้องมีการเปรียบเทียบเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ทีมงามทุกคนก็ตั้งใจทำออกมาอย่างเต็มที่เพราะรู้ตัวว่ายิ่งถูกเปรียบเทียบ ยิ่งกดดัน ยิ่งต้องทำให้ดีที่สุด ก็เห็นกันอยู่ว่าซีรีส์เกาหลีมาตรฐานเขาสูงขนาดไหน เราก็ต้องรักษามาตรฐานสำหรับคนไทยเอาไว้ ซึ่งบางอย่างเราก็อาจทำได้ดีกว่า เพราะเราเพิ่งมาสร้างทีหลัง มันเลยมีมุมมองใหม่ๆ มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยค่ะ
HB: แล้วคาแร็กเตอร์ของซอนซงอีที่ได้รับบทบาทในครั้งนี้มีความเหมือนหรือแตกต่างกับคาแร็กเตอร์จริงๆ ของแมท ภีรนีย์อย่างไรบ้าง?
M: ค่อนข้างเหมือนเพราะเป็นคนตลกเหมือนกัน ถ้าให้มองหน้าเฉยๆ อาจคิดว่าเป็นคนที่มุ่งมั่นตั้งใจ จริงจัง และดุ แต่จริงๆ ไม่ใช่แบบนั้นเลยค่ะ เหมือนซอนซงอีที่เวลาออกไปเจอผู้คนก็จะสวยเริ่ดเชิดหยิ่งเป็นนางพญา แต่ว่าจริงๆ แล้วพออยู่บ้านก็จะทำอะไรที่เพี้ยน พิลึกพิลั่น ตลกเป็นบ้าเป็นบออะไรของเขา ซึ่งตรงกับเรามาก
HB: สิ่งหนึ่งที่เมื่อพูดถึงตัวละครซอนซงอีแล้วจะลืมนึกถึงเป็นไม่ได้ คือสไตล์การแต่งตัวอันสุดโต่งของเธอ แมทคิดว่าเซนส์ทางแฟชั่นของตัวเองกับซอนซงอีมีความเชื่อมโยงกันได้มากน้อยขนาดไหน?
M: เวลาใครถามเรื่องสไตล์แมทจะค่อนข้างตอบยาก เพราะบางวันเราอยากเท่ บางวันอยากหวาน บางวันอยากฮิปสเตอร์ มันแล้วแต่เลยค่ะ แต่สิ่งหนึ่งที่เราคล้ายกันก็คือตรงที่ใส่ใหญ่แค่ไหนก็ไม่ดูเยอะ บ้า หรือเพี้ยนจนเกินไป เวลาทีมเสื้อผ้าหาของใหญ่ลายยากมาให้ใส่แมทก็จะไม่มั่นใจ แต่พอใส่แล้วทุกคนก็ชมว่าแมทเอาอยู่ ซึ่งจริงๆ เราก็รู้อยู่แหละว่าเขาอยากให้กำลังใจเรา ก็คงเหมือนกับที่เราต้องให้กำลังใจตัวเองว่า “ไม่ได้ๆ เราไม่ใช่แมท เราคือซอนซงอี เราคือฟ้าลดา” เมื่อก่อนเราจะเอาตัวเองเข้าไปใส่ด้วย ตัวไหนไม่มั่นใจก็จะขอเปลี่ยนบ้าง แต่กับเสื้อผ้าในเรื่องนี้แมทไม่เคยขอเปลี่ยนเลยค่ะ นอกจากจะยัดไม่เข้าเท่านั้นเอง (หัวเราะ) ในตัวบนล่างสามลายก็ใส่มาเลยค่ะพร้อม เพราะเราโตขึ้นและอย่างที่บอกว่าเรื่องนี้คนคาดหวังมาก เราเลยอยากจะทำให้ถึงในทุกๆ ด้าน
HB: ความประทับใจที่มีต่อบทบาทครั้งสำคัญที่ใครๆ ก็ต่างตั้งตารอชมนี้?
M: ก่อนที่จะรู้ว่าได้เล่น แมทเองก็ดูเรื่องนี้ไปประมาณสามรอบ มันเป็นละครที่บทน่ารัก พระเอกนางเอกเล่นดีเคมีเข้ากันไปหมด รวมถึงองค์ประกอบแสงสีเสื้อผ้า ทุกอย่างทำให้มันเป็นผลงานที่มีคุณค่า พอรู้ว่าตัวเองจะได้เล่นก็ดีใจมากและอยากให้ทุกคนได้ดู เพราะสำหรับการเป็นนักแสดงแล้ว แมทคิดว่าละครสักเรื่องจะสนุกหรือไม่สนุกมาถึงอย่างแรกคือดูที่บทเลยค่ะ การที่เรามีบทที่ดีบทที่สนุกมันทำให้เราใจชื้นไปได้ห้าสิบเปอร์เซนต์เลยค่ะ
HB: ขณะนี้มีผู้คนมากมายที่จับจ้องมาที่ประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของแมท ในโลกโซเชียลก็แสดงความเห็นกันต่างๆ นานา บ้างก็ด้วยถ้อยคำที่ค่อนข้างรุนแรงและเป็นเชิงตัดสินตัวแมทไปโดยปริยาย แมทมีวิธีในการรับมือกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์นี้อย่างไร?
M: แมทเป็นคนไม่ยอมคน แต่ไม่เคยทำอะไรใครก่อน ตั้งแต่เด็กแล้วถ้าเราไปทำอะไรผิดมา สักพักนึงเราก็จะต้องมาเฉลยมาสารภาพกับแม่ ถ้าเราโกหกหรือทำอะไรไม่ดีมา ตัวเราก็จะร้อนใจจนต้องออกมาสารภาพเองอยู่ดี เวลาเป็นข่าวแล้วมีคนที่ไม่รู้เรื่องเอาเราไปพูด เราก็รู้สึกนะไม่ใช่ไม่รู้สึก คือเราไม่ใช่นางเอก ไม่ได้จะยอมไปซะทุกเรื่อง ถ้าเรื่องไหนที่เราคิดว่าเราทำถูกต้องแล้ว ต่อให้เอามีดมาจี้คอแมทก็จะไม่ยอมรับผิด เพราะว่าเราไม่ได้ทำอ่ะค่ะ แต่ถ้าอันไหนเราผิดจริงก็จะยอมรับแล้วเอามาปรับปรุงค่ะ
HB: การต้องเจออะไรแบบนี้อยู่เรื่อยๆ มันบั่นทอนจิตใจไหม และแมทมีวิธีอย่างไรในการรักษาความสงบสุขในใจเราให้ได้ท่ามกลางเสียงอื้ออึงรอบตัวที่พูดถึงเรา?
M: มันจะต้องเกิดอาการดาวน์แน่นอนค่ะ จริงๆ นะคะ เพียงแต่ว่าเราจะปล่อยให้มันมาทำร้ายเราได้นานแค่ไหนเท่านั้นเอง เรารู้สึกเสียใจ ไม่พอใจได้ แต่เราต้องเอาตัวเองออกมาจากตรงนั้นให้เร็วที่สุดค่ะ เพราะถ้าไม่งั้นมันจะทำให้ชีวิตเราพังไปหมดเลย เราก็จะแบบ “โอ้ยนอนไม่หลับ โอ้ยเสียใจ โอ้ยทำไมไม่เข้าใจกันเลย” ต่างๆ นานา แต่แมทก็เป็นคนที่โชคดีอีกอย่างหนึ่ง เพราะเวลามีเรื่องทุกข์ใจแมทก็จะมานั่งอยู่กับตัวเองคนเดียวก่อน ขอคิดทบทวน หนึ่งสองสามสี่ห้า ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เราทำอะไรลงไป เราทำผิดหรือถูก ถ้าผลของมันเป็นสิ่งที่เรามั่นใจว่าเราไม่ได้ทำผิด เราก็จะ “เฮ้ยเราโอเคนะ” เพราะต่อให้เราทำดีขนาดไหนก็จะต้องมีคนบนโลกที่เกลียดเรา หรือต่อให้เป็นคนร้ายแค่ไหนก็จะต้องมีคนบนโลกที่ยังเข้าใจและเห็นใจเราอยู่ด้วย เหรียญมันมีสองด้านเสมอ มันไม่มีใครที่จะทำให้คนเข้าใจเราได้หมด เพราะบางทีเราก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลย (หัวเราะ) ที่ทำได้ดีที่สุดคือยึดมั่นในจุดยืนและสิ่งที่เราเชื่อค่ะ
HB: อีกด้านที่คนอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับตัวแมท?
M: แมทสะสมสแตมป์และชอบวาดรูปค่ะ บางทีไปดูงานศิลปะมาแล้วชอบ ก็จะไปซื้อสี ดินสอ กระดาษมาวาดเองบ้าง แต่จะวาดแบบตามใจฉันมาก ใช้สีทุกสีอะไรแบบนี้ เราไม่ได้เรียนวาดรูปมาแต่เป็นคนชอบศิลปะและงานประดิษฐ์ประดอยมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ
HB: จะหมดไปอีกปีแล้วสำหรับ 2018 แมทมีอะไรอยากอวยพรหรือฝากถึงผู้อ่านและแฟนๆ ในเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองนี้ไหมคะ?
M: ขอให้ทุกคนมีความสุขค่ะ แล้วสิ่งที่เราควรใส่ใจทั้งสำหรับตัวเองและคนรอบข้างคือเรื่องของอุบัติเหตุ คนไทยชอบปาร์ตี้เกินเรื่องและเลยป้ายจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ค่ะ สิ่งที่ตัวเราและพ่อแม่เราให้ความสำคัญคือการนึกถึงสังคมมาก่อนตัวเองเสมอ เพราะฉะนั้นถ้าเราปาร์ตี้หนักไปเราอาจขาดความรับผิดชอบต่อสังคมในทุกๆ ด้านเลย ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ เรื่องกฎหมาย กฎจราจร หรือการโวยวายวิวาท ยิ่งปาร์ตี้ใหญ่ส่งท้ายปีแบบนี้ทุกคนคง “เฮ้ยเต็มที่ได้แล้วเว้ย!” แต่ก็อย่าลืมดูแลตัวเองและคนรอบข้างด้วยนะคะ และสำหรับพรที่ดีที่สุดที่แมทเจอกับตัวเองมาแล้วคือการที่เรามีสุขภาพแข็งแรง ถ้าเกิดเราเจ็บป่วยขึ้นมา เพื่อนไปเที่ยวไปสนุกกันเราก็ไปกับเขาไม่ได้ มีเงินก็ใช้ไม่ได้เต็มที่ มีบ้านใหญ่โตแต่เราก็ห่อเหี่ยวไม่ได้ชื่นชมสิ่งสวยงามรอบตัว เพราะฉะนั้นก็อย่าลืมออกกำลังกายนะคะ คือมีเงินไม่ใช่ไม่ดีนะ ใครว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้อันนี้แมทเถียง แมทคิดว่ามีเงินซื้อความสุขได้ แต่เราต้องมีร่างกายที่แข็งแรงเพื่อที่จะสามารถเอาเงินไปใช้สอยได้ด้วย ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ
ถึงจะเป็นเวลาไม่นานที่ได้มีโอกาสพูดคุยและทำงานร่วมกัน แต่ทีมงานของเราต่างก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจและการโฟกัสกับงานตรงหน้าให้ออกมาดีที่สุด แม้มันอาจเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับเธอ แต่การเผชิญหน้ากับทุกปัญหาและมองให้มันเป็นบทพิสูจน์ที่จะทำให้เธอเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง คือมุมมองที่แมท-ภีรนีย์ คงไทยเลือกที่จะใช้รับมือกับโลกอันแสนวุ่นวาย และเปลี่ยนให้มันกลายเป็นที่ที่สันติในใจของเธอ

Matt: เป็นครั้งแรกของแมทที่ได้ออกไปทำงานเกี่ยวกับแฟชั่นที่ต่างประเทศ แถมยังเป็นงานที่ดูดีมาก ค่อนข้างยิ่งใหญ่และมีเกียรติ ก็เลยตื่นเต้นมากและยังถือเป็นโอกาสที่ดีในชีวิตค่ะ ได้เจอคนดังหลายๆ ท่านที่พี่ดวง (บรรณาธิการบริหารของเรา) แนะนำให้รู้จัก อย่างคารีน รอยท์เฟลด์ (Carine Roitfeld) ซึ่งเป็นโกลบัลแฟชั่นไดเร็กเตอร์ของบาซาร์และเป็นผู้มีอิทธิพลด้านแฟชั่นคนหนึ่งของโลก เขาเป็นคนชิคและเป็นตัวจริงแห่งวงการ ในโอกาสนี้เขายังไปเปิดตัวหนังสือใหม่ CR Fashion Book Japan ซึ่งเราก็ไปต่อคิวขอลายเซ็นเป็นแฟนคลับมาเหมือนกันค่ะ นอกจากนั้นยังเจอนางแบบญี่ปุ่นที่เราคุ้นหน้าค่าตาอีกเยอะเลยค่ะ ส่วนกิจกรรมภายในงานแมทก็ได้เดินพรมดำออกไปถ่ายรูปหน้างาน ก่อนกลับเข้ามาพูดคุยกับหลายๆ ท่าน มีคอนเสิร์ตของ Char มือกีต้าร์รุ่นเก๋าของญี่ปุ่น เราไม่รู้จักเขามาก่อนแต่เล่นสนุกมาก ปาร์ตี้มันส์มาก ทุกคนเต้น ถ่ายรูป และเอ็นจอยกันจริงๆ ถือเป็นงานที่หรูหราแต่ก็อบอุ่นและน่ารักมากในเวลาเดียวกัน อาหารก็อร่อยค่ะ

M: เป็นเรื่องที่เราซื้อลิขสิทธิ์มาจากเกาหลี ผู้จัดคือพี่หน่อง (อรุโณชา ภาณุพันธุ์) จากค่ายบอร์ดคาสต์ และผู้กำกับคือพี่ใหม่ (ภวัต พนังคศิริ) (ทั้งสองท่านยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของละครฮิตแห่งปีอย่าง ‘บุพเพสันนิวาส’ อีกด้วย) เนื้อเรื้องคล้ายเดิมแต่มีการปรับแต่งให้เข้ากับคนไทย ถือเป็นละครเรื่องใหญ่ของช่องสามที่จะปิดกล้องสิ้นปี และน่าจะได้ดูกันเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าค่ะ ซึ่งบทของนางเอกหรือ ‘ซอนซงอี’ ที่ในเวอร์ชั่นไทยจะกลายเป็น ‘ฟ้าลดา’ นี้มันมีความไอคอนิก คนดูก็คาดหวังว่าจะต้องออกมาดี ออกมาสนุก ซึ่งก็เป็นความท้าทายของเราแล้วที่จะต้องเล่นให้ถึงไม่งั้นจะดูวันนาบีได้ ความหนักใจอยู่ที่การเปรียบเทียบไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแสดง เสื้อผ้าหน้าผม บริบทต่างๆ ในเรื่อง รวมถึงสถานที่ที่ใช้ถ่ายทำ ซึ่งหลักๆ คือคอนโดของพระเอกนางเอกที่เราได้เนรมิตสร้างใหม่หมดเลย ลงทุนไปมากจริงๆ ให้ออกมาคล้ายที่สุด เราก็ทำใจว่าต้องมีการเปรียบเทียบเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ทีมงามทุกคนก็ตั้งใจทำออกมาอย่างเต็มที่เพราะรู้ตัวว่ายิ่งถูกเปรียบเทียบ ยิ่งกดดัน ยิ่งต้องทำให้ดีที่สุด ก็เห็นกันอยู่ว่าซีรีส์เกาหลีมาตรฐานเขาสูงขนาดไหน เราก็ต้องรักษามาตรฐานสำหรับคนไทยเอาไว้ ซึ่งบางอย่างเราก็อาจทำได้ดีกว่า เพราะเราเพิ่งมาสร้างทีหลัง มันเลยมีมุมมองใหม่ๆ มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยค่ะ

M: ค่อนข้างเหมือนเพราะเป็นคนตลกเหมือนกัน ถ้าให้มองหน้าเฉยๆ อาจคิดว่าเป็นคนที่มุ่งมั่นตั้งใจ จริงจัง และดุ แต่จริงๆ ไม่ใช่แบบนั้นเลยค่ะ เหมือนซอนซงอีที่เวลาออกไปเจอผู้คนก็จะสวยเริ่ดเชิดหยิ่งเป็นนางพญา แต่ว่าจริงๆ แล้วพออยู่บ้านก็จะทำอะไรที่เพี้ยน พิลึกพิลั่น ตลกเป็นบ้าเป็นบออะไรของเขา ซึ่งตรงกับเรามาก
HB: สิ่งหนึ่งที่เมื่อพูดถึงตัวละครซอนซงอีแล้วจะลืมนึกถึงเป็นไม่ได้ คือสไตล์การแต่งตัวอันสุดโต่งของเธอ แมทคิดว่าเซนส์ทางแฟชั่นของตัวเองกับซอนซงอีมีความเชื่อมโยงกันได้มากน้อยขนาดไหน?
M: เวลาใครถามเรื่องสไตล์แมทจะค่อนข้างตอบยาก เพราะบางวันเราอยากเท่ บางวันอยากหวาน บางวันอยากฮิปสเตอร์ มันแล้วแต่เลยค่ะ แต่สิ่งหนึ่งที่เราคล้ายกันก็คือตรงที่ใส่ใหญ่แค่ไหนก็ไม่ดูเยอะ บ้า หรือเพี้ยนจนเกินไป เวลาทีมเสื้อผ้าหาของใหญ่ลายยากมาให้ใส่แมทก็จะไม่มั่นใจ แต่พอใส่แล้วทุกคนก็ชมว่าแมทเอาอยู่ ซึ่งจริงๆ เราก็รู้อยู่แหละว่าเขาอยากให้กำลังใจเรา ก็คงเหมือนกับที่เราต้องให้กำลังใจตัวเองว่า “ไม่ได้ๆ เราไม่ใช่แมท เราคือซอนซงอี เราคือฟ้าลดา” เมื่อก่อนเราจะเอาตัวเองเข้าไปใส่ด้วย ตัวไหนไม่มั่นใจก็จะขอเปลี่ยนบ้าง แต่กับเสื้อผ้าในเรื่องนี้แมทไม่เคยขอเปลี่ยนเลยค่ะ นอกจากจะยัดไม่เข้าเท่านั้นเอง (หัวเราะ) ในตัวบนล่างสามลายก็ใส่มาเลยค่ะพร้อม เพราะเราโตขึ้นและอย่างที่บอกว่าเรื่องนี้คนคาดหวังมาก เราเลยอยากจะทำให้ถึงในทุกๆ ด้าน

M: ก่อนที่จะรู้ว่าได้เล่น แมทเองก็ดูเรื่องนี้ไปประมาณสามรอบ มันเป็นละครที่บทน่ารัก พระเอกนางเอกเล่นดีเคมีเข้ากันไปหมด รวมถึงองค์ประกอบแสงสีเสื้อผ้า ทุกอย่างทำให้มันเป็นผลงานที่มีคุณค่า พอรู้ว่าตัวเองจะได้เล่นก็ดีใจมากและอยากให้ทุกคนได้ดู เพราะสำหรับการเป็นนักแสดงแล้ว แมทคิดว่าละครสักเรื่องจะสนุกหรือไม่สนุกมาถึงอย่างแรกคือดูที่บทเลยค่ะ การที่เรามีบทที่ดีบทที่สนุกมันทำให้เราใจชื้นไปได้ห้าสิบเปอร์เซนต์เลยค่ะ
HB: ขณะนี้มีผู้คนมากมายที่จับจ้องมาที่ประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของแมท ในโลกโซเชียลก็แสดงความเห็นกันต่างๆ นานา บ้างก็ด้วยถ้อยคำที่ค่อนข้างรุนแรงและเป็นเชิงตัดสินตัวแมทไปโดยปริยาย แมทมีวิธีในการรับมือกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์นี้อย่างไร?
M: แมทเป็นคนไม่ยอมคน แต่ไม่เคยทำอะไรใครก่อน ตั้งแต่เด็กแล้วถ้าเราไปทำอะไรผิดมา สักพักนึงเราก็จะต้องมาเฉลยมาสารภาพกับแม่ ถ้าเราโกหกหรือทำอะไรไม่ดีมา ตัวเราก็จะร้อนใจจนต้องออกมาสารภาพเองอยู่ดี เวลาเป็นข่าวแล้วมีคนที่ไม่รู้เรื่องเอาเราไปพูด เราก็รู้สึกนะไม่ใช่ไม่รู้สึก คือเราไม่ใช่นางเอก ไม่ได้จะยอมไปซะทุกเรื่อง ถ้าเรื่องไหนที่เราคิดว่าเราทำถูกต้องแล้ว ต่อให้เอามีดมาจี้คอแมทก็จะไม่ยอมรับผิด เพราะว่าเราไม่ได้ทำอ่ะค่ะ แต่ถ้าอันไหนเราผิดจริงก็จะยอมรับแล้วเอามาปรับปรุงค่ะ

M: มันจะต้องเกิดอาการดาวน์แน่นอนค่ะ จริงๆ นะคะ เพียงแต่ว่าเราจะปล่อยให้มันมาทำร้ายเราได้นานแค่ไหนเท่านั้นเอง เรารู้สึกเสียใจ ไม่พอใจได้ แต่เราต้องเอาตัวเองออกมาจากตรงนั้นให้เร็วที่สุดค่ะ เพราะถ้าไม่งั้นมันจะทำให้ชีวิตเราพังไปหมดเลย เราก็จะแบบ “โอ้ยนอนไม่หลับ โอ้ยเสียใจ โอ้ยทำไมไม่เข้าใจกันเลย” ต่างๆ นานา แต่แมทก็เป็นคนที่โชคดีอีกอย่างหนึ่ง เพราะเวลามีเรื่องทุกข์ใจแมทก็จะมานั่งอยู่กับตัวเองคนเดียวก่อน ขอคิดทบทวน หนึ่งสองสามสี่ห้า ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เราทำอะไรลงไป เราทำผิดหรือถูก ถ้าผลของมันเป็นสิ่งที่เรามั่นใจว่าเราไม่ได้ทำผิด เราก็จะ “เฮ้ยเราโอเคนะ” เพราะต่อให้เราทำดีขนาดไหนก็จะต้องมีคนบนโลกที่เกลียดเรา หรือต่อให้เป็นคนร้ายแค่ไหนก็จะต้องมีคนบนโลกที่ยังเข้าใจและเห็นใจเราอยู่ด้วย เหรียญมันมีสองด้านเสมอ มันไม่มีใครที่จะทำให้คนเข้าใจเราได้หมด เพราะบางทีเราก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลย (หัวเราะ) ที่ทำได้ดีที่สุดคือยึดมั่นในจุดยืนและสิ่งที่เราเชื่อค่ะ
HB: อีกด้านที่คนอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับตัวแมท?
M: แมทสะสมสแตมป์และชอบวาดรูปค่ะ บางทีไปดูงานศิลปะมาแล้วชอบ ก็จะไปซื้อสี ดินสอ กระดาษมาวาดเองบ้าง แต่จะวาดแบบตามใจฉันมาก ใช้สีทุกสีอะไรแบบนี้ เราไม่ได้เรียนวาดรูปมาแต่เป็นคนชอบศิลปะและงานประดิษฐ์ประดอยมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ

M: ขอให้ทุกคนมีความสุขค่ะ แล้วสิ่งที่เราควรใส่ใจทั้งสำหรับตัวเองและคนรอบข้างคือเรื่องของอุบัติเหตุ คนไทยชอบปาร์ตี้เกินเรื่องและเลยป้ายจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ค่ะ สิ่งที่ตัวเราและพ่อแม่เราให้ความสำคัญคือการนึกถึงสังคมมาก่อนตัวเองเสมอ เพราะฉะนั้นถ้าเราปาร์ตี้หนักไปเราอาจขาดความรับผิดชอบต่อสังคมในทุกๆ ด้านเลย ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ เรื่องกฎหมาย กฎจราจร หรือการโวยวายวิวาท ยิ่งปาร์ตี้ใหญ่ส่งท้ายปีแบบนี้ทุกคนคง “เฮ้ยเต็มที่ได้แล้วเว้ย!” แต่ก็อย่าลืมดูแลตัวเองและคนรอบข้างด้วยนะคะ และสำหรับพรที่ดีที่สุดที่แมทเจอกับตัวเองมาแล้วคือการที่เรามีสุขภาพแข็งแรง ถ้าเกิดเราเจ็บป่วยขึ้นมา เพื่อนไปเที่ยวไปสนุกกันเราก็ไปกับเขาไม่ได้ มีเงินก็ใช้ไม่ได้เต็มที่ มีบ้านใหญ่โตแต่เราก็ห่อเหี่ยวไม่ได้ชื่นชมสิ่งสวยงามรอบตัว เพราะฉะนั้นก็อย่าลืมออกกำลังกายนะคะ คือมีเงินไม่ใช่ไม่ดีนะ ใครว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้อันนี้แมทเถียง แมทคิดว่ามีเงินซื้อความสุขได้ แต่เราต้องมีร่างกายที่แข็งแรงเพื่อที่จะสามารถเอาเงินไปใช้สอยได้ด้วย ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ
ถึงจะเป็นเวลาไม่นานที่ได้มีโอกาสพูดคุยและทำงานร่วมกัน แต่ทีมงานของเราต่างก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจและการโฟกัสกับงานตรงหน้าให้ออกมาดีที่สุด แม้มันอาจเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับเธอ แต่การเผชิญหน้ากับทุกปัญหาและมองให้มันเป็นบทพิสูจน์ที่จะทำให้เธอเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง คือมุมมองที่แมท-ภีรนีย์ คงไทยเลือกที่จะใช้รับมือกับโลกอันแสนวุ่นวาย และเปลี่ยนให้มันกลายเป็นที่ที่สันติในใจของเธอ