หากนึกถึงผลงานศิลปินไทยยุคใหม่ที่มีฝีไม้ลายมือโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ชื่อของ ยูน-ปัณพัท เตชเมธากุล ก็คงผุดขึ้นมาในความคิดของหลายคน หลังจากที่เธอเคยฝากผลงานไว้กับหนังสือเล่มพิเศษของแบรนด์ระดับโลกอย่าง Gucci แล้ว ล่าสุดเธอก็ได้มีโอกาสร่วมมือกับ เม้ง-สิทธิชัย กิตยายุคกะ เจ้าของ Wondercapetown แบรนด์ไทยที่เชี่ยวชาญด้านการใช้ผ้าแอฟริกันมาเนรมิตให้กลายเป็นเสื้อผ้าซิลลูเอตสนุกสีสันจัดจ้าน ทีมบาซาร์จึงได้มีโอกาสพูดคุยกับทั้งสองท่านเกี่ยวกับคอลเลกชั่นสุดพิเศษ “Moonlight Dive” โดย Wondercapetown x Phannapast ที่นำภาพวาดอันเป็นเอกลักษณ์ของคุณยูนมาถ่ายทอดผ่านเทคนิคการพิมพ์แบบแอฟริกันเพื่อสร้างสรรค์เป็นเสื้อผ้าสุดเก๋เหล่านี้

Harper’s BAZAAR: ทั้งคู่มาร่วมงานทำคอลเลกชั่นพิเศษนี้กันได้อย่างไร
Yoon Phannapast: เริ่มต้นด้วยการที่ยูนรู้จักและใส่งานของ Wondercapetown มาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่วนตัวแล้วยูนรู้สึกว่าเสื้อผ้าของ Wondercapetown เป็นเสื้อผ้าที่พิเศษ นอกจากยูนจะชอบเนื้อผ้า แพทเทิร์น สีสัน และลวดลายแบบแอฟริกันแล้ว อีกสิ่งที่ประทับใจคือการที่พี่เม้งและพี่ผึ้งใส่ใจในรายละเอียดของการตัดเย็บและการวางลายผ้าในเสื้อผ้าแต่ละชิ้นให้ต่อกันอย่างแนบเนียน ทุกครั้งที่เห็นเสื้อผ้าออกมาเป็นชุดจะรู้สึกทุกครั้งว่าเป็นชุดที่ดีไซเนอร์ทั้งสองท่านตั้งใจทำมาเพื่อเราจริงๆ ทุกครั้งที่ใส่จะรู้สึกว่าเราเป็นอิสระ
อันที่จริงแล้วยูนอยากร่วมงานกับพี่เม้งและพี่ผึ้งมาตลอดเลยค่ะ จนปีที่แล้วมีน้องที่สนิทกันเกิดปิ๊งไอเดียนี้ขึ้นมา และพาพวกเรามาเจอกันเพื่อคุยถึงโปรเจ็กต์สนุกๆ ในครั้งนี้ ซึ่งพวกเราก็ต่างดีใจมากๆ ที่ได้ร่วมงานกัน และก็ได้เริ่มทำคอลเลกชั่นพิเศษนี้ร่วมกันค่ะ
Meng Wondercapetown: ทาง Wondercapetown เองก็รู้สึกดีใจมากตอนที่รู้ว่าโปรเจ็กต์นี้กำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ เสื้อผ้าเกือบทุกชิ้นในคอลเลกชั่นนี้ถูกออกแบบขึ้นจากไอเดียที่คิดว่าน้องยูนจะชอบใส่ เพราะจริงๆ ทางเราเชื่อว่าในอนาคตคนจะไม่แค่จดจำเพียงงานของน้องยูน แต่จะจดจำสไตล์และความเป็นตัวตนที่ชัดเจนผ่านการแต่งกายของน้องยูนด้วยครับ เหมือนที่ Vivienne Westwood ถูกกล่าวถึงพร้อมกับ Sex Pistols อยู่เสมอ เราเองก็อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกันและเชื่อว่าน้องยูนจะเป็นหนึ่งในศิลปินที่คนจะไม่ได้รักแค่ผลงาน แต่จะรักในสไตล์และคาแรกเตอร์ของผู้วาดด้วย
HB: แรงบันดาลใจในการวาดลายของคอลเลกชั่นนี้
YP: Moonlight Dive สำหรับยูนคือภาพนักรบวัยเยาว์ผู้กล้าหาญ ที่กระโดดดำดิ่งลงไปในเงาของตัวเอง เป้าหมายคือค้นหาจิตใจ และจิตวิณญาณที่อยู่ส่วนลึกด้านใน เพราะทุกวันเรารู้สึกและคิดถึงเรื่องราวต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี เรื่องที่ถูกใจและไม่ถูกใจ บางเรื่องเราก็ยอมรับและบางเรื่องเราก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น อาจจะมีบางเรื่องที่เข้าไปกระทบตัวตนของเราจนเสียสมดุล ซึ่งการจัดการกับส่วนลึกในใจนี้ บางทีเปรียบเสมือนกับการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดอย่างเดียวดาย ตอนเริ่มต้นเราอาจไม่ต้องคิดถึงผลแพ้ชนะ แค่กล้าลองดำดิ่งลงไปดูว่าพื้นที่ในใจเรามีสภาพแวดล้อมแบบไหน และสัตว์ประหลาดของเราหน้าตาเป็นอย่างไร
สำหรับคอลเลกชั่น Moonlight Dive นี้ นอกจากเราจะเห็นเหล่าสัตว์ประหลาดมากมาย รวมถึงทัศนียภาพในจิตใจ ทิศทางสำหรับลายพิมพ์จะมีกลิ่นอายของ Chinoseries ผสมกับเส้นกราฟิกของลายผ้าแบบแอฟริกัน ผนวกกับไอเดียของลาย Toile de Jouy ซึ่งหยิบยกมามา ผนวก ซ้อนทับ และปรับสีให้จัดขึ้น ตอนทำยูนเรียกชื่อเล่นลายผ้าว่า toile “Kaiju” ที่ใช้สีฟ้า แดง เขียว เหลือง แบบเข้มข้น ไม่ผสมขาว เทา หรือดำ เพื่อสื่อถึงคอนเซ็ปต์หลักที่ตรงไปตรงมาของคอลเลกชั่น
HB: ความโดดเด่นของคอลเลกชั่น Moonlight Dive
YP: ยูน และ คุณเม้ง Wondercapetown ชื่นชอบเทคนิคการพิมพ์ผ้าลงบนผ้าเนื้อธรรมชาติเป็นพิเศษ เราใช้เทคนิคแบบ rotary สีจะซึมลงไปถึงเนื้อผ้าคอตตอนเนื้อหนา ทำให้คงสีสดตลอดอายุการใช้งานเหมือนผ้าแอฟริกันของ Wondercapetown ที่ยูนชอบใส่ ส่วนผ้าเนื้อโปร่งอย่างไหมอินเดียมีความพิเศษด้วยเส้นทอที่ต่างจากผ้าชนิดอื่น และพื้นผิวที่มีความวาวเล็กน้อยเมื่อเนื้อผ้ากระทบแสง นำ้หนักเบาสวมใส่สบายเหมาะกับอากาศบ้านเรา ซึ่งภาพพิมพ์ที่อยู่บนผ้าไหมอินเดียก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปอีกแบบ
HB: Wondercapetown และ คุณยูน มีความคล้ายกันอย่างไร
YP: ยูนรู้สึกว่าเรามีความคล้ายในการหลงใหลลวดลายแพทเทอร์น ลายพิมพ์ใหญ่ ความสนุกสนานและสีสัน เมื่อได้มาทำคอลเลกชั่นด้วยกัน อีกสิ่งที่เห็นได้ชัดมากๆ เลยคือการที่เราเต็มที่กับทุกสิ่งที่เราทำ เราใช้เวลาหลายเดือนในการเขียนลายผ้าด้วยมือก่อนทำเป็นเวอร์ชั่นดิจิตอลเพื่อการผลิต เนื้อผ้าที่พวกเราชื่นชอบนั้นไม่ง่ายสำหรับการพิมพ์และการหาที่ผลิตเนื่องจากเทคนิคที่ละเอียดอ่อนมากกว่าการพิมพ์แบบดิจิตอล ในการทดลองร่วมหลายเดือน เราก็ได้สีสันของเทคนิคที่สดใสลงตัวและเป็นลวดลายที่ผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างเป็นอิสระ ในส่วนนี้พี่ผึ้งกับพี่เม้งก็ต่างทำงานกันอย่างหนัก เพื่อให้ใด้ชิ้นงานและคอลเลกชั่นที่พิเศษที่สุด
MW: ผมว่าสิ่งที่น้องยูนวาดกับสิ่งที่ Wondercapetown เป็นมันมากกว่าการทำตามกระแสของแฟชั่น มันไม่ใช่สินค้าสำหรับคนชอบตามวิ่งตามเทรนด์ แต่สำหรับคนที่รู้แน่ชัดแล้วว่าตัวเองชอบและเหมาะกับสไตล์อะไร ซึ่งเราเชื่อว่าการมีสไตล์ที่ชัดเจนไม่ว่าจะใส่ปีนี้ หรือเก็บไว้ให้ลูกสาวใส่ตอนโตก็จะยังสวยได้อย่างไม่รู้เบื่อ เปรียบเสมือนภาพวาดมากมายบนโลกนี้โดยฝีมือศิลปินที่มีแนวทางของตัวเองที่แน่ชัด มันไม่เคยจะล้าสมัยเลย
HB: หลังจากสิ้นสุดการ collaboration ครั้งนี้ จะมีคอลเลกชั่นพิเศษออกมาอีกไหมคะ?
MW: ผมและยูนจะรอดูผลตอบรับหลังจากวางจำหน่ายดูก่อนครับ เพราะคอลเลกชั่นนี้เราทำขึ้นจากความเชื่อของเรา และพยายามสร้างสรรค์ให้ไกล้เคียงกับสิ่งที่อยากได้จริงๆ ไม่ได้เน้นทำเพื่อให้ขายได้ แต่ทำเพื่อให้ตรงกับความต้องการของพวกเรา ไม่มีเรื่องการตลาดหรือกระแสความนิยมใดๆ มาเกี่ยวข้อง ไม่มีการควบคุมต้นทุนใดๆ ทำเหมือนกับว่านี่คือคอลเลกชั่นสุดท้ายที่จะมีโอกาสได้ทำในชีวิตนี้ และให้สมกับที่น้องยูนได้ให้ความไว้วางใจกับทางเรา ก็คงได้แต่รอดูว่าความสวยในแบบที่เราเชื่อ ส่วนจะถูกใจหลายๆ คนที่ชอบอะไรแบบนี้ด้วยมั้ย ทางเราคาดหวังว่าจะมีคนเห็นถึงความตั้งใจของเราเช่นกันครับ
HB: ทั้งสองท่านมีมุมมองเกี่ยวกับด้านวงการศิลปะและแฟชั่นในประเทศไทยเป็นอย่างไร
YP: ในมุมมองของยูน ทุกครั้งที่ทำงาน ยูนมักจะนำสองศาสตร์นี้เข้ามาผสมผสานกันอยู่เสมอ ความรู้สึกต่อศิลปะในแง่ของการทำงานคือการพูดคุย และสื่อสารกับตัวเอง เพื่อให้ดำรงค์ถึงความเป็นเอกลักษณ์ และไม่ลืมรากที่แท้จริงที่เป็นตัวตนของเรา ส่วนแฟชั่นเป็นเหมือนสีสัน ที่เราแต่งแต้มเติมลงไป เป็นความรู้ และเป็นสถานการณ์ที่ทันสมัย ทำให้เรารู้ถึงแนวคิดและทิศทางของผู้คนบนโลกที่กำลังดำเนินไป สิ่งที่ยูนกำลังทำอยู่ในแง่ของศิลปะ ก็คือสิ่งที่ไร้กาลเวลา ซึ่งคือการที่ยูนได้ร่วมกันทำคอลเลกชั่นนี้กับพี่เม้งพี่ผึ้งมันทำให้เราได้เริ่มเรียนรู้ตัวเองผ่านงานที่เราทำ เรียนรู้โลกผ่านมุมมองอื่นๆ ที่กว้างขึ้น ให้เกียรติตัวเอง และผู้อื่นด้วยการเคารพซึ่งกันและกัน ให้เกียรติชิ้นงานของเราด้วยการสร้างสรรค์อย่างตั้งใจ และมีความรับผิดชอบ รวมถึงให้เกียรติคุณค่าของผู้มีส่วนร่วมในการผลิตและพัฒนาผลงานด้วยกัน ทั้งหมดนี้เพื่องานสร้างสรรค์ที่ไม่ทำร้ายตนเอง ผู้ร่วมงาน และวิชาชีพที่เรารัก ซึ่งถ้าเราทำให้จุดนี้แข็งแรง การสานต่อจุดอื่นๆ ก็น่าจะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ต้องใช้ระยะเวลา และการวางเป้าหมายร่วมกัน
MW: สำหรับแฟชั่นและศิลปะของไทย ผมคิดว่ายังมีความกล้าที่จะแตกต่างน้อยไป โลกทุกวันนี้ความสวยงามมันไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนที่แค่ทำให้สวยได้เท่าสิ่งเคยที่มี หรือที่คนอื่นเคยทำไว้ก็เพียงพอแล้ว แต่มันคือโลกที่ต้องการความชัดเจนและความเชื่อในสิ่งที่ทำ จึงจะสามารถอยู่รอดบนสังคมที่มีการแข่งขันสูงอย่างทุกวันนี้ได้ แต่ผมเชื่อว่าทั้งสองวงการของประเทศเราในอนาคต น่าจะเต็มไปความกล้าและความตื่นเต้นมากขึ้นกว่าทุกวันนี้แน่นอนครับ


Yoon Phannapast: เริ่มต้นด้วยการที่ยูนรู้จักและใส่งานของ Wondercapetown มาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่วนตัวแล้วยูนรู้สึกว่าเสื้อผ้าของ Wondercapetown เป็นเสื้อผ้าที่พิเศษ นอกจากยูนจะชอบเนื้อผ้า แพทเทิร์น สีสัน และลวดลายแบบแอฟริกันแล้ว อีกสิ่งที่ประทับใจคือการที่พี่เม้งและพี่ผึ้งใส่ใจในรายละเอียดของการตัดเย็บและการวางลายผ้าในเสื้อผ้าแต่ละชิ้นให้ต่อกันอย่างแนบเนียน ทุกครั้งที่เห็นเสื้อผ้าออกมาเป็นชุดจะรู้สึกทุกครั้งว่าเป็นชุดที่ดีไซเนอร์ทั้งสองท่านตั้งใจทำมาเพื่อเราจริงๆ ทุกครั้งที่ใส่จะรู้สึกว่าเราเป็นอิสระ
อันที่จริงแล้วยูนอยากร่วมงานกับพี่เม้งและพี่ผึ้งมาตลอดเลยค่ะ จนปีที่แล้วมีน้องที่สนิทกันเกิดปิ๊งไอเดียนี้ขึ้นมา และพาพวกเรามาเจอกันเพื่อคุยถึงโปรเจ็กต์สนุกๆ ในครั้งนี้ ซึ่งพวกเราก็ต่างดีใจมากๆ ที่ได้ร่วมงานกัน และก็ได้เริ่มทำคอลเลกชั่นพิเศษนี้ร่วมกันค่ะ
Meng Wondercapetown: ทาง Wondercapetown เองก็รู้สึกดีใจมากตอนที่รู้ว่าโปรเจ็กต์นี้กำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ เสื้อผ้าเกือบทุกชิ้นในคอลเลกชั่นนี้ถูกออกแบบขึ้นจากไอเดียที่คิดว่าน้องยูนจะชอบใส่ เพราะจริงๆ ทางเราเชื่อว่าในอนาคตคนจะไม่แค่จดจำเพียงงานของน้องยูน แต่จะจดจำสไตล์และความเป็นตัวตนที่ชัดเจนผ่านการแต่งกายของน้องยูนด้วยครับ เหมือนที่ Vivienne Westwood ถูกกล่าวถึงพร้อมกับ Sex Pistols อยู่เสมอ เราเองก็อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกันและเชื่อว่าน้องยูนจะเป็นหนึ่งในศิลปินที่คนจะไม่ได้รักแค่ผลงาน แต่จะรักในสไตล์และคาแรกเตอร์ของผู้วาดด้วย

YP: Moonlight Dive สำหรับยูนคือภาพนักรบวัยเยาว์ผู้กล้าหาญ ที่กระโดดดำดิ่งลงไปในเงาของตัวเอง เป้าหมายคือค้นหาจิตใจ และจิตวิณญาณที่อยู่ส่วนลึกด้านใน เพราะทุกวันเรารู้สึกและคิดถึงเรื่องราวต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี เรื่องที่ถูกใจและไม่ถูกใจ บางเรื่องเราก็ยอมรับและบางเรื่องเราก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น อาจจะมีบางเรื่องที่เข้าไปกระทบตัวตนของเราจนเสียสมดุล ซึ่งการจัดการกับส่วนลึกในใจนี้ บางทีเปรียบเสมือนกับการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดอย่างเดียวดาย ตอนเริ่มต้นเราอาจไม่ต้องคิดถึงผลแพ้ชนะ แค่กล้าลองดำดิ่งลงไปดูว่าพื้นที่ในใจเรามีสภาพแวดล้อมแบบไหน และสัตว์ประหลาดของเราหน้าตาเป็นอย่างไร
สำหรับคอลเลกชั่น Moonlight Dive นี้ นอกจากเราจะเห็นเหล่าสัตว์ประหลาดมากมาย รวมถึงทัศนียภาพในจิตใจ ทิศทางสำหรับลายพิมพ์จะมีกลิ่นอายของ Chinoseries ผสมกับเส้นกราฟิกของลายผ้าแบบแอฟริกัน ผนวกกับไอเดียของลาย Toile de Jouy ซึ่งหยิบยกมามา ผนวก ซ้อนทับ และปรับสีให้จัดขึ้น ตอนทำยูนเรียกชื่อเล่นลายผ้าว่า toile “Kaiju” ที่ใช้สีฟ้า แดง เขียว เหลือง แบบเข้มข้น ไม่ผสมขาว เทา หรือดำ เพื่อสื่อถึงคอนเซ็ปต์หลักที่ตรงไปตรงมาของคอลเลกชั่น

YP: ยูน และ คุณเม้ง Wondercapetown ชื่นชอบเทคนิคการพิมพ์ผ้าลงบนผ้าเนื้อธรรมชาติเป็นพิเศษ เราใช้เทคนิคแบบ rotary สีจะซึมลงไปถึงเนื้อผ้าคอตตอนเนื้อหนา ทำให้คงสีสดตลอดอายุการใช้งานเหมือนผ้าแอฟริกันของ Wondercapetown ที่ยูนชอบใส่ ส่วนผ้าเนื้อโปร่งอย่างไหมอินเดียมีความพิเศษด้วยเส้นทอที่ต่างจากผ้าชนิดอื่น และพื้นผิวที่มีความวาวเล็กน้อยเมื่อเนื้อผ้ากระทบแสง นำ้หนักเบาสวมใส่สบายเหมาะกับอากาศบ้านเรา ซึ่งภาพพิมพ์ที่อยู่บนผ้าไหมอินเดียก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปอีกแบบ

YP: ยูนรู้สึกว่าเรามีความคล้ายในการหลงใหลลวดลายแพทเทอร์น ลายพิมพ์ใหญ่ ความสนุกสนานและสีสัน เมื่อได้มาทำคอลเลกชั่นด้วยกัน อีกสิ่งที่เห็นได้ชัดมากๆ เลยคือการที่เราเต็มที่กับทุกสิ่งที่เราทำ เราใช้เวลาหลายเดือนในการเขียนลายผ้าด้วยมือก่อนทำเป็นเวอร์ชั่นดิจิตอลเพื่อการผลิต เนื้อผ้าที่พวกเราชื่นชอบนั้นไม่ง่ายสำหรับการพิมพ์และการหาที่ผลิตเนื่องจากเทคนิคที่ละเอียดอ่อนมากกว่าการพิมพ์แบบดิจิตอล ในการทดลองร่วมหลายเดือน เราก็ได้สีสันของเทคนิคที่สดใสลงตัวและเป็นลวดลายที่ผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างเป็นอิสระ ในส่วนนี้พี่ผึ้งกับพี่เม้งก็ต่างทำงานกันอย่างหนัก เพื่อให้ใด้ชิ้นงานและคอลเลกชั่นที่พิเศษที่สุด
MW: ผมว่าสิ่งที่น้องยูนวาดกับสิ่งที่ Wondercapetown เป็นมันมากกว่าการทำตามกระแสของแฟชั่น มันไม่ใช่สินค้าสำหรับคนชอบตามวิ่งตามเทรนด์ แต่สำหรับคนที่รู้แน่ชัดแล้วว่าตัวเองชอบและเหมาะกับสไตล์อะไร ซึ่งเราเชื่อว่าการมีสไตล์ที่ชัดเจนไม่ว่าจะใส่ปีนี้ หรือเก็บไว้ให้ลูกสาวใส่ตอนโตก็จะยังสวยได้อย่างไม่รู้เบื่อ เปรียบเสมือนภาพวาดมากมายบนโลกนี้โดยฝีมือศิลปินที่มีแนวทางของตัวเองที่แน่ชัด มันไม่เคยจะล้าสมัยเลย

MW: ผมและยูนจะรอดูผลตอบรับหลังจากวางจำหน่ายดูก่อนครับ เพราะคอลเลกชั่นนี้เราทำขึ้นจากความเชื่อของเรา และพยายามสร้างสรรค์ให้ไกล้เคียงกับสิ่งที่อยากได้จริงๆ ไม่ได้เน้นทำเพื่อให้ขายได้ แต่ทำเพื่อให้ตรงกับความต้องการของพวกเรา ไม่มีเรื่องการตลาดหรือกระแสความนิยมใดๆ มาเกี่ยวข้อง ไม่มีการควบคุมต้นทุนใดๆ ทำเหมือนกับว่านี่คือคอลเลกชั่นสุดท้ายที่จะมีโอกาสได้ทำในชีวิตนี้ และให้สมกับที่น้องยูนได้ให้ความไว้วางใจกับทางเรา ก็คงได้แต่รอดูว่าความสวยในแบบที่เราเชื่อ ส่วนจะถูกใจหลายๆ คนที่ชอบอะไรแบบนี้ด้วยมั้ย ทางเราคาดหวังว่าจะมีคนเห็นถึงความตั้งใจของเราเช่นกันครับ

YP: ในมุมมองของยูน ทุกครั้งที่ทำงาน ยูนมักจะนำสองศาสตร์นี้เข้ามาผสมผสานกันอยู่เสมอ ความรู้สึกต่อศิลปะในแง่ของการทำงานคือการพูดคุย และสื่อสารกับตัวเอง เพื่อให้ดำรงค์ถึงความเป็นเอกลักษณ์ และไม่ลืมรากที่แท้จริงที่เป็นตัวตนของเรา ส่วนแฟชั่นเป็นเหมือนสีสัน ที่เราแต่งแต้มเติมลงไป เป็นความรู้ และเป็นสถานการณ์ที่ทันสมัย ทำให้เรารู้ถึงแนวคิดและทิศทางของผู้คนบนโลกที่กำลังดำเนินไป สิ่งที่ยูนกำลังทำอยู่ในแง่ของศิลปะ ก็คือสิ่งที่ไร้กาลเวลา ซึ่งคือการที่ยูนได้ร่วมกันทำคอลเลกชั่นนี้กับพี่เม้งพี่ผึ้งมันทำให้เราได้เริ่มเรียนรู้ตัวเองผ่านงานที่เราทำ เรียนรู้โลกผ่านมุมมองอื่นๆ ที่กว้างขึ้น ให้เกียรติตัวเอง และผู้อื่นด้วยการเคารพซึ่งกันและกัน ให้เกียรติชิ้นงานของเราด้วยการสร้างสรรค์อย่างตั้งใจ และมีความรับผิดชอบ รวมถึงให้เกียรติคุณค่าของผู้มีส่วนร่วมในการผลิตและพัฒนาผลงานด้วยกัน ทั้งหมดนี้เพื่องานสร้างสรรค์ที่ไม่ทำร้ายตนเอง ผู้ร่วมงาน และวิชาชีพที่เรารัก ซึ่งถ้าเราทำให้จุดนี้แข็งแรง การสานต่อจุดอื่นๆ ก็น่าจะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ต้องใช้ระยะเวลา และการวางเป้าหมายร่วมกัน

