เดินทางมาถึงงานที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษอีกงาน สำหรับงาน Met Gala ค่ำคืนสุดพิเศษที่รวบรวมเหล่าคนดังจากแวดวงแฟชั่นมากมายไม่ว่าจะเป็นดีไซเนอร์ นางแบบ รวมถึงบรรดาเซเลบริตี้และดาราฮอลลีวู้ดเบอร์ต้นๆ ที่ต่างพร้อมใจกันบินตรงสู่มหานครนิวยอร์คเพื่อเผยโฉมลุคอันสุดแสนอลังการ และสำหรับ Met Gala 2022 ในปีนี้ สาวไทยในนิวยอร์ค ณิชาภัทร สุภาพ คือหนึ่งตัวแทนของคนไทยที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานสุดยอดอีเวนต์ที่ไม่ใช่ใครก็สามารถเข้าได้ ณิชาภัทรไปงานนี้ในฐานะของ Friend of Museum ที่เธอมีโอกาสได้เข้าร่วมงานมาแล้วถึงสองครั้ง และความพิเศษที่มากไปกว่าการเป็นตัวแทนของคนไทยคือในปีนี้ก็คือ เธอเลือกพาผลงานของไทยดีไซเนอร์บินลัดฟ้าไปอวดโฉมสู่สายตาชาวโลก กับลุคที่ผสมผสานกันระหว่างสองแบรนด์จากสองซีกโลกอย่าง Schiaparelli คอลเลกชั่นโอต์กูตูร์ Fall 2020 และชุดสั่งตัดพิเศษจาก Asava โดยหมู พลพัฒน์ อัศวะประภา ร่วมรังสรรค์ลุคสุดพิเศษในงานพรมแดงระดับโลกครั้งนี้ ซึ่งวันนี้บาซาร์จะพาทุกคนไปร่วมติดตามเส้นทางของลุคเด่นจากณิชาภัทรกันแบบเกาะติด ว่ากว่าจะมาเป็นผลงานล้ำค่าอย่างที่เราได้เห็นกันหน้ากล้อง ต้องเตรียมตัวอย่างไร และมีเรื่องราวความเป็นมาที่น่าตื่นเต้นสักแค่ไหน มาฟังบทสัมภาษณ์สุดเอ็กคลูซีฟกับณิชาภัทร และพี่หมู พลพัฒน์ แบบเต็มๆ ไปพร้อมกันที่นี่


พอมาเป็นงานของปีนี้ เราก็รอดูจนถึงช่วงแฟชั่นวีคเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครที่ hype up หรือเป็นยังดีไซเนอร์ที่ป๊อปออกมาเหมือน Tomo Koizumi อย่างปีที่แล้ว ก็เลยคิดว่าเอายังไงดี ก็ตัดสินใจเอา Schiaparelli คอลเลกชั่นโอต์กูตูร์ Fall 2020 แล้วกัน สาเหตุที่เราเลือกแบรนด์นี้เพราะว่า Daniel Roseberry นั้นถือเป็นดีไซเนอร์ชาวอเมริกัน ซึ่งตรงกันธีมของงานพอดีค่ะ จากนั้นก็ติดต่อทางแบรนด์ไปในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อไปขอให้เขาทำ Custom look แต่สรุปว่าเขาทำให้ไม่ทันเพราะโดยปกติแล้วเขาต้องใช้เวลาในการทำประมาณ 4-6 เดือน เลยเสนอให้เราเลือกจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ซึ่งเราก็เลือกสิ่งที่เขาเอามาให้ลองและยังไม่เคยมีใครใส่มาก่อน แต่ปรากฎว่าเป็นชุดที่หนักมาก หนักชนิดที่ใส่ไม่ได้ในชีวิตจริง คือมันหนักมากจริงๆ ค่ะ เรียกว่ายืนอยู่เนี่ยคอจะเอนไปข้างหน้าเลย และที่สำคัญคือโซ่ของชุดมันไม่ใช่ลักษณะเป็นสร้อยคอรูปปอดเหมือนของ Bella Hadid แต่มันเป็นอวัยวะในร่างกายอย่าง ตา จมูก มือ ปาก หัวใจ ท้อง หู ซึ่งมันต้อง Custom made ให้พอดีกับร่างกายมาก เพราะปกติโซ่ของนางแบบมันยาว เรามีบินไปลองเองในช่วงมิลานแฟชั่นวีค เลยขอให้เขาตัดออก ซึ่งสุดท้ายเราจำเป็นต้องตัดส่วนของจมูกออกไป เพราะว่าตัวเราสั้นกว่านางแบบ เราก็พยายามแล้วที่จะอยากให้มันพอดีมากที่สุด ส่วนท่อนล่างตอนแรกเราก็ลองกระโปรงของ Schiaparelli แต่พอลองแล้วจริงๆ กลับรู้สึกว่าเราอ้วนมาก ทั้งที่จริงๆ แล้วเราไม่ได้อ้วน คือไม่มีอะไรพอดีเลยแม้แต่นิดเดียว เราก็เลยกลับมาดูว่าจริงๆ แล้วยังมีดีไซเนอร์คนอื่นๆ ที่น่าจะทำกระโปรงให้เราได้ ก็เลยนึกถึงพี่หมู Asava เพราะว่าหนึ่งเลยคือจริงๆ แล้วเราก็เป็นคนไทย แล้วเราก็ยังไม่เคยเอาไทยดีไซเนอร์ไปโชว์เคสเลยแม้แต่ครั้งเดียว อย่างที่สองคือในแง่ของมาร์เก็ตติ้งและการทำแบรนด์ดิ้ง พี่หมูก็ถือว่าเป็นที่รู้จักกว้างขวาง เราก็เลยคิดว่า Asava น่าจะเหมาะสมที่สุด ซึ่งมันก็จะเป็นการมิกซ์ของ 2 ดีไซเนอร์บนพรมแดงที่ยังไม่เคยมีใครทำ

แต่สุดท้ายเราก็ได้ชิ้นงานของ Schiaparelli ที่เขา Custom ให้ด้วยวัสดุที่มีน้ำหนักเบากว่าเดิม และปรับให้โซ่มีความพอดีกับตัวเรามากขึ้นซึ่งระหว่างที่เราลองของ Schiaparelli เราก็เฟซไทม์หาพี่หมู คือจริงๆ แล้วเราอยากได้เอวต่ำ เพราะว่าตอนนี้อเมริกันแฟชั่นมันเป็นเอวต่ำ อย่าง Julia Fox อะไรประมาณนี้ค่ะ และเราก็คิดว่าเราเตรียมร่างกายมาพร้อมแล้ว คือตัวจริงมันได้ แต่พอถ่ายรูปออกมาแล้วมันก็ยังดูไม่ลีน ซึ่งพี่หมูก็แนะนำว่า “กล้องในงานมัน 360 องศาเลยนะ” เราขยับเอวมาเป็นเอวสูงขึ้นหน่อยดีไหม ในตอนแรกเราก็ไม่อยาก แต่ในที่สุดมันก็ออกมามันดีมาก ด้วยความที่ค่อนข้างปิดสัดส่วนได้ดี พี่หมูก็ทำมาให้เลือก 2 แบบ เขาตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้อยู่แล้วเพราะว่ามันช่วยส่งเสริมสัดส่วนมากขึ้น








HB : อยากให้เล่าถึงธีมงานในปีนี้ ทำไมถึงวาดฝันออกมาเป็นชุดนี้ และมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้างคะ
NS : คือนิทรรศการของ Met Museum ในปีนี้คือ In America: An Anthology of Fashion เป็นส่วนที่สองของนิทรรศการสองส่วนที่สำรวจแฟชั่นในสหรัฐอเมริกา ส่วนธีมงาน Met Gala นั้นชื่อ “Gilded Glamour” ซึ่งเราเพิ่งทราบเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา งานนี้คีย์หลักคืออเมริกันดีไซเนอร์ โดยปกติแล้วเราก็จะเตรียมตัวโดยการดูว่าช่วงนั้นดีไซเนอร์คนไหน hype up ขึ้นมาในช่วงแฟชั่นวีคบ้าง เพราะด้วยความที่เราไม่ได้เป็นคนดัง เราจึงต้องอาศัยชุดเพื่อที่จะให้มันส่งเสริมเรา อย่างในปีแรกเราเลือกใช้ Dundas เพราะชื่นชอบใน Peter Dundas มาแต่ไหนแต่ไร ส่วนปีที่ 2 เห็นว่าตอนนั้น Tomo Koizumi กำลังฮอต เลยคิดว่าเดี๋ยวลอง Tomo Koizumi ดีกว่า

HB : เล่าให้เราฟังบ้างได้ไหมว่าวัสดุและการตัดเย็บของ Asava เป็นอย่างไรบ้าง?
NS : ช่วงแรกพี่หมูก็มีถามว่าเป็นไทยซิลค์ดีไหม แต่เราก็บอกว่าอยากให้มันเป็นแฟชั่นสากล ไม่ใช่ว่าไทยซิลค์ไม่สากลนะ แต่ว่าเราใส่แล้วอาจจะไม่เหมาะกับเราเท่าไร ก็มีการพูดคุยกันว่าชอบแบบไหนอะไรยังไง สุดท้ายก็เลยมาจบลงที่ผ้าแบบนี้ ซึ่งเป็นผ้าที่ต้องสั่งจากปารีสค่ะHB : เห็นว่าต้องมีการบินตรงจากนิวยอร์กมากรุงเทพเพื่อลองชุดด้วย?
NS : ใช่ค่ะ มีการบินมาลองชุด เพราะว่าปกติแล้วขั้นตอนในการทำชุดมันมีหลายขั้นตอนมาก อย่างปีแรกเลยก็ต้องบินไปลอนดอน 2 ครั้ง เพื่อที่จะไปลองชุดกับ Dundas และปีที่ 2 ก็บินไปญี่ปุ่น 1 ครั้ง แล้วอีกครั้ง Tomo บินมานิวยอร์กเพื่อที่จะต้องมาฟิตติ้ง แต่ว่าแบรนด์เหล่านั้นคือกระชั้นชิดมากทั้งๆ ที่มีการคุยกันก่อนล่วงหน้าเป็นเวลานาน อย่าง Dundas คือทำ 2 วันก่อนล่วงหน้า ส่วนของ Tomo นี่ก็ใกล้ๆ กัน ส่วนของพี่หมูนี่เรียกว่าได้มืออาชีพมากที่สุดแล้วในบรรดาคนที่เราจ่ายเงินมา เพราะว่าหลายๆ แบรนด์คือ small business อย่าง Tomo Koizumi ก็คือ one man show มาก คือเขาเป็นดีไซเนอร์เก่าแก่ที่ hype up จริง เพียงแต่ว่าหลังบ้านเขาอาจจะไม่ได้แข็งแรงมากเหมือนอย่างของพี่หมู โดยของพี่หมูเราก็มีการลองอยู่ 3-4 ครั้ง แล้วก็เย็บกันตรงนั้น คือเย็บเป๊ะมาก ซึ่งตอนแรกที่ทำก็แอบมีพุงป่องมานิดนึง น้องที่มาช่วยทำวันนั้นก็คือทีมจาก Asava ก็มีการแก้ไขจุดบกพร่องกันจนออกมาเป็นอย่างที่เห็น
HB : แล้วเรื่องของ makeup & hair ล่ะ มีการดีไซน์ไว้อย่างไรบ้าง?
NS : มีค่ะ คิดไว้คร่าวๆ ว่าอยากทำผมหยิกๆ เหมือน Stella Maxwell ที่ไปกับชุด Moschino เมื่อปี 2018 แต่เพื่อนบอกว่าไม่ให้ทำ ก็เลยอยากจะไปลองดูสัก 2-3 ลุค คือปกติเราจะมีวันซ้อมอยู่แล้ว ก็จะมีการแต่งหน้าทำผมเหมือนจริง แล้วเราก็จะถ่ายคอนเทนต์กันเลยวันนั้นที่ The Peninsula New York เพื่อที่เราจะได้ส่งภาพเหล่านี้ไปให้สื่อที่ติดต่อไว้อย่างเร็วที่สุด เพราะหากเรารอตอนเย็นแล้ว เราไม่ใช่เบอร์ใหญ่ Lady Gaga เอาไป Rihanna เอาไป เขาไม่สนใจเราแล้วHB : พอจะบอกเราได้ไหม ว่าตัวเลขทั้งหมดสำหรับงานนี้หมดไปเท่าไร?
NS : ตั๋วเข้างานก็ 40,000 เหรียญสหรัฐ ส่วนชุดปีนี้ถูกกว่าเดิมเพราะเราได้พี่หมูมาช่วยทำ พี่หมูคิดมาในราคาที่พิเศษมากๆ คือ 100,000 บาท ส่วนท่อนบนของ Schiaparelli อยู่ที่ 20,000 ยูโร โดยรวมแล้วปีนี้ประหยัดกว่าเดิมค่ะ
นั่นยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินและที่พักเพื่อไปลองชุดที่ปารีสกับ Schiaparelli และที่กรุงเทพฯ กับ Asava อีกประมาณ 500,000 บาท ลองคำนวณดูแล้ว ณิชาภัทรน่าจะลงทุนสำหรับงานนี้ไปไม่ต่ำกว่า 2,500,000 บาท ว้าว

HB : อีกไม่กี่วันจะถึงวันงาน มีการเตรียมตัวอย่างไรบ้างคะ
NS : ก็ปกติแล้วเราจะพยายามควบคุมอาหาร ลดหุ่น แต่ปีนี้ด้วยความที่ช่วงโควิดเรามีการลดไปแล้วประมาณ 10 กิโล และเหมือนกับเรามีการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ มีการดูแลตัวเองสม่ำเสมอ เราเลยไม่ได้มีอะไรที่ต้องเตรียมเป็นพิเศษมาก
นอกจากที่ได้พูดคุยกับณิชาภัทรแล้ว บาซาร์ยังมีโอกาสได้สัมภาษณ์พี่หมู พลพัฒน์ เกี่ยวกับการสร้างสรรค์ชุดสำหรับงานพรมแดงระดับโลกในครั้ง
HB : อยากให้พี่หมูเล่าถึงขั้นตอนการทำชุดให้กับณิชาภัทรในครั้งนี้ค่ะ
PA : อย่างแรกเลยหลังได้รับ sizing มาจากอเมริกา เราก็เริ่มจากการขึ้นม็อคอัพจากการดูสร้อยคอของ Schiaparelli และอิงจากงานปีนี้ก็คือ In America: An Anthology of Fashion ซึ่งก็น่าจะพูดถึงที่มาที่ไปของอเมริกันแฟชั่น เราก็เลยคิดว่าจะทำอย่างไรให้มันมีความเกี่ยวข้องกับความเป็นอเมริกัน เราก็เลยหยิบเอาแรงบันดาลใจจากดีไซเนอร์ชาวอเมริกันอย่าง Charles James ซึ่งเป็นอเมริกันกูตูริเย่ร์คนแรก ก็ได้หยิบยกเอาซิลูเอตของ Charles James มาใช้ คือจริงๆ ตัวสร้อยคอของ Schiaparelli นั้นก็มีความโดดเด่นอยู่แล้ว เราเพียงแค่อยากจะให้กระโปรงเข้าไปช่วย ส่งเสริม แต่ก็ไม่อยากให้กระโปรงมันหายไปเพราะนั่นก็คืออีกหนึ่งผลงานของเรา ก็เลยพยายามทำให้มันดูเรียบแต่มีอิมแพ็ค จึงออกมาเป็น Structure และในขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมท่อนบนและก็ ช่วยรูปร่างของณิชาภัทรด้วย


HB : วัสดุที่เลือกใช้เป็นอย่างไรบ้างคะ?
PA : พี่เลือกเป็น Silk Moiré ครับ ซึ่งเป็นผ้าที่ชอบอยู่แล้วและใช้มาเป็นสิบปี แต่ก็ค่อนข้างจะหายากนิดนึงในเมืองไทย ก็เลยสั่งผ้าตรงจากฝรั่งเศส ซึ่งเป็นแหล่งผ้าประเภทนี้ที่สวยที่สุดHB : ทราบมาว่าน้ำหนักของชุดคือหนักมาก?
PA : ใช่ครับ เพราะว่ามีการขึ้นโครง และมันคือ Full corset ที่ด้านในเป็น Full structure ทั้งหมด และก็ค่อนข้างใหญ่เพราะว่าเราก็ต้องการให้มันมีความ powerful

HB : รู้สึกอย่างไรที่ได้รับติดต่อมาจากณิชาภัทรครั้งนี้
PA : ก็ตื่นเต้นครับ คือ Met Gala มันคืองานออสการ์ของวงการแฟชั่นและมันคือ The best of the best ไม่ว่าจะเป็น Guest List ไม่ว่าจะเป็นคนแต่งตัว คือทุกอย่างมันต้องทำอย่างดีที่สุดครับ เพราะเราไปเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับเสื้อระดับโอต์กูตูร์กับคนระดับโลก เพราะฉะนั้นผ้ามันจะไม่ดีก็ไม่ได้ คอนสตรัคชั่นมันจะไม่สวยก็ไม่ได้ เพราะเหมือนกับว่าเราไปเดินสวนไปมากับชุดที่มันดีที่สุดในโลกทุกชุด ก็คิดว่าทุกอย่างมันต้องเป็น The best อย่างผ้าอย่างนี้ก็ต้องเป็นผ้าที่ดีที่สุด หรือคอนสตรัคชั่นก็ต้องไม่อายใคร ที่มาที่ไปของงานออกแบบเราก็ต้องอธิบายได้ว่าเป็นมาอย่างไร ซึ่งเราเองก็ต้องมีครบทุกอย่างจริงๆ ทั้งเรื่องของ Craftsmanship ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Inspiration วิธีคิด ที่เราต้องถ่ายทอดมันออกมาว่าเราสร้างชุดนี้มาเพื่อให้มันสมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับ Met Gala แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็ต้องส่งสร้อย Schiaparelli และต้องเสริมให้ตัวณิชาภัทรให้มีความโดดเด่นด้วย จะใหญ่ไปก็ไม่ได้ เล็กไปก็ไม่ได้ เรื่องสเกลก็เป็นสิ่งที่สำคัญครับ