ในโลกแฟชั่นที่เต็มไปด้วยความสวยงามตามแบบอุดมคติได้ชวนให้ อเลสซานโดร มิเคเล (Alessandro Michele) เกิดการตั้งคำถามถึงหน้าที่ บทบาทและความเป็นไปในโลกของแฟชั่น จนเกิดเป็นการนำเสนอคอลเลกชั่นในอีกมุมมองที่ฉีกออกจากวิถีแบบเดิมอย่างสิ้นเชิงที่อเลสซานโดรเปรียบเปรยว่านี่คือเทพนิยายไตรภาคีของ กุชชี่ (Gucci) บทสรุปสุดท้าย
หลังจากที่อเลสซานโดร มิเคเล ได้นำเบื้องหลังการทำงานของแบ็คสเตจออกมานำเสนอเป็นโชว์ของกุชชี่ใน
เรื่องราวของเทพนิยายนี้ดำเนินต่อโดยมีสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของโลกนี้เป็นตัวเสริมให้เราได้เห็นแก่นของแนวคิดที่อเลสซานโดร มิเคเลนั้นกำลังตั้งคำถามได้ดียิ่งขึ้น เมื่อสถานการณ์โรคระบาดเกิดขึ้นทั่วโลกในเดือนพฤษภาคม เขาได้เกิดไอเดียในการสร้างสรรค์แคมเปญโดยให้บรรดาเหล่านายแบบและนางแบบเป็นครีเอเตอร์ในการถ่ายภาพแคมเปญด้วยตัวเอง “The Ritual” จึงเป็นภาพที่ถ่ายทอดโดยเหล่าโมเดลเองทุกกระบวนการ เริ่มตั้งแต่การคิดไอเดีย ถ่ายทำ และแสดงแบบเอง โดยมีเขาเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ ภาพถ่ายที่ออกมาเป็นการถ่ายจากสถานการณ์จริงไร้การปรุงแต่ง การนำเสนอภาพในรูปแบบใหม่นั้นกลับสร้างความรู้สึกให้คนอินได้มากกว่าการถ่ายภาพแฟชั่นโดยทั่วไปที่มีการเตรียมการมาแล้วในทุกขั้นตอน และทำให้เราเกิดความรับรู้ถึงนิยามความงามที่ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ

#GucciEpilogue บทส่งท้ายของเทพนิยายตอกย้ำคอนเซ็ปต์และเรื่องราวที่อเลสซานโดร มิเคเลต้องการจะสื่อสารให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นในแบบทวีคูณ คอลเลกชั่นพิเศษที่นำเสนอ ready to wear มากกว่า 76 ลุคพร้อมแอ็กเซสเซอรี่และเครื่องประดับถูกพรีเซนต์ผ่านการถ่ายทอดสดเบื้องหลังการทำงานที่ใช้เวลายาวนานกว่า 12 ชั่วโมง ณ Palazzo Sacchetti ปราสาทในยุคสมัยเรเนซองส์ช่วงปลายที่ตั้งอยู่ในกรุงโรม นายแบบและนางแบบที่นำเสนอคอลเลกชั่นนั้นคือทีมดีไซเนอร์ของกุชชี่ที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบแฟชั่นไอเท็มสุดคูลของแบรนด์ ภาพถ่ายลุคบุ๊คนำเสนอผ่านรูปที่ใช้ฟิตติ้งในแฟชั่นโชว์จริงๆ มีโพสต์อิทแปะไว้บ่งบอกชื่อและตำแหน่งของทีมงานรวมถึงคอมเมนต์การเพิ่มเติมแก้ไขการสไตลิ่งในแต่ละลุค ทีมดีไซเนอร์ของกุชชี่ที่มีเชื้อชาติ อายุ บุคลิกที่แตกต่าง สวมใส่เสื้อผ้าของกุชชี่ได้ออกมาสวยงามไม่ต่างจากบรรดานายแบบ นางแบบมืออาชีพ เปรียบเหมือนภาพสะท้อนที่บ่งบอกว่าไม่ว่าใครก็สวมใส่กุชชี่ได้

เอกลักษณ์ที่โดดเด่นในงานออกแบบยังคงอยู่เช่นเดิมทั้งการผสมสานลวดลายกราฟิกเรโทร สีสันที่ตัดกันแบบไร้ข้อจำกัด สไตล์โบฮีเมียนในยุค ‘60S-‘70S หลอมรวมกับแฟชั่นของเซเลบริตี้ชื่อดังในยุคนั้นถูกนำมาสร้างสรรค์เป็นลุคที่มีความจัดจ้านดูเซอร์แต่ไม่ทิ้งความหรูหรา การเลเยอร์เสื้อผ้าที่ฟุ้งกลิ่นอายของอดีตทั้งการสวมเชิ้ตปกใหญ่ทับปกเสื้อสูท การใส่ผ้าโพกหัวกับเดรสผ้าพิมพ์ลายดอกไม้สีสดที่คลุมทับด้วยเสื้อโค้ตผ้าทอลายพร้อมแว่นตาโอเวอร์ไซส์ เข็มขัดโซ่สีทองและเข็มกลัดดอกไม้ชิ้นเด่นถูกนำมาช่วยคอมพลีตลุคให้สะดุดตามากยิ่งขึ้น แอ็กเซสเซอรี่ชิ้นเด่นในครั้งนี้คงต้องยกให้กระเป๋าสะพายสไตล์โบโฮ ” href=”https://ad.doubleclick.net/ddm/trackclk/N49701.1992300HARPERSBAZAAR.COM1/B25329225.294382810;dc_trk_aid=487535184;dc_trk_cid=145087696;dc_lat=;dc_rdid=;tag_for_child_directed_treatment=;tfua=;gdpr=${GDPR};gdpr_consent=${GDPR_CONSENT_755}” target=”_blank”>Disney Donald Duck x Gucci และการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง
สิ่งที่เขาเกิดความสงสัย ตั้งคำถาม และนำมาสู่การทดลองในครั้งนี้เป็นจุดกำเนิดเทพนิยายไตรภาค แม้เรื่องราวจะดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว แต่อเลสซานโดร มิเคเลกำลังเปิดประตูบานใหม่ให้กับกุชชี่โดยเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงการออกคอลเลกชั่นเหลือเพียง 2 คอลเลกชั่นต่อปี และมันคงไม่ได้จบลงเพียงแค่ในโลกของกุชชี่ เพราะนี่เป็นการเปิดมุมมองใหม่แบบสุดโต่งในโลกของแฟชั่นให้ผู้คนได้ขบคิดต่อ จึงเป็นการปิดท้ายแบบปลายเปิดได้อย่างน่าสนใจ





วีดีโอบอกเล่าแรงบันดาลใจการนำเสนอคอลเลกชั่น Epilogue จาก Gucci
https://www.youtube.com/embed/xSiQAxFJkhY” frameborder=”0″ allow=”accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture” allowfullscreen>
นอกจากนี้เรายังมีวีดีโอสนุกๆของการรวมตัวเฉพาะกิจของแก๊งสาวเก๋อย่าง มิลลิ-ดนุภา, แพต-ชญานิษฐ์, ฟ้า-ษริกา, โบว์-เมลดา และมารีน่า บาเล็นซิเอก้า ทั้งห้าคนที่มาพร้อมลุคเปรี้ยวสุดคูลในคอลเลกชั่น Epilogue จาก Gucci