
ถ้าจะบอกว่า GUCCI COSMOS คือ ‘โลกทั้งใบของ GUCCI’ ก็คงไม่ผิดนัก ภาพ Key Visaul ชัดเจนมากว่าตัวอักษร GG ที่ซ่อนภาพโลกที่มองจากมุมสูงเหนือชั้นบรรยากาศไว้นั้น คือโลกทั้งใบของแฟชั่นเฮ้าส์แห่งนี้ ที่รายล้อมไปด้วยศิลปะวัฒนธรรมรวมถึงอารยะธรรมของกุชชี่เฮ้าส์ เฉกเช่นกับพื้นหลังสีเขียวแดงที่ได้แรงบันดาลมาจากสีของ The Web อันเป็นไอคอนิกดีไซน์ของกุชชี่ ดังนั้นการได้ร่วมชมงาน GUCCI COSMOS ก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินก้าวเข้าไปมองประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าในอดีต อย่างเข้าใจปัจจุบัน เพื่อที่จะมองไปข้างหน้า ในสายตาเดียวกันกับแฟชั่นเฮ้าส์เก่าแก่กว่า 102 ปีแห่งนี้นั่นเอง และเพื่อบอกเล่าเรื่องราวสำคัญๆ ของแบรนด์ที่เดินทางมากว่า 100 ปี Gucci จับมือกับสุดยอดอาร์ตติสและดีไซน์เนอร์ชื่อดังอย่าง Es Devlin และ Maria Luisa Frisa นักทฤษฏีและนักวิชาการแฟชั่นระดับโลก เพื่อถ่ายทอดประวัติศาสตร์ คราฟเม้นชิพ และวัฒนธรรมกุชชี่ ผ่านห้องจัดแสดงทั้งหมด 8 โลก (ในที่นี่ กุชชี่ของเรียกแทนห้องว่า ‘โลก’)



โลกที่ 1 มีชื่อว่า Portals รวบกระเป๋าเดินทางจากงานอาร์ไคฟ์ สะท้อนเรื่องราวของจุดเริ่มต้นกุชชี่เฮ้าส์ ของ Guccio Gucci จากพนักงานยกกระเป๋าที่โรงแรม Savoy ในลอนดอน โรงแรมที่เรียกได้ว่าหรูหรามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่นี่เองที่ Guccio Gucci เห็นและใช้เวลาสังเกต คลุกลี และทำความเข้าใจ กับไลฟ์สไตล์ สังคม และวัฒนธรรมที่แขกที่มาใช้บริการ สู่แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กระเป๋าเดินทางและก่อตั้งแบรนด์ก Gucci ขึ้น ในห้องนี้จัดแสดงเป็นวงกลมหมุน โดยที่วงในสุดโชว์ผลงานกระเป๋าเดินทางดีไซน์แรกๆ ชองเฮ้าส์ที่สร้างขึ้นเมื่อปลาย 1920s รวมถึงผลงานของครีเอทีฟไดเร็คเตอร์ประจำเฮ้าส์ท่านอื่นๆ ทั้ง Tom Ford และ Michele




ห้องวงกลมสีดำสนิทพร้อมด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ที่นำเสนอฟุตเทจวิดีโอที่เร้าและกระตุ้นอารมณ์ทุกต่อมประสาท พร้อมด้วยภาพเสียงควบม้าเป็นจังหวะ และทันที่ที่หน้าจอดับลง ไฟในห้องก็สว่างขึ้น เผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังจอขนาดใหญ่ นั่นคือ ไอคอนิคพีชหลากหลายชิ้นจากต่างยุคต่างเวลา แต่เชื่อมโยงด้วยสัญลักษณ์อันทรงพลังของกุชชี่ นั่นก็คือ Horsebit ที่ถูกนำมาสร้างสรรค์ไว้ในทุกอย่างของกุชชี่ ตั้งแต่รองเท้า Loafers กระเป๋า Horsebit 1955 ไปจนถึงเดรสผ้าวูลและหนังกลับจากยุค 1960s และ 1970s




EDEN คือชื่อโลกใบที่ 3 ของ GUCCI COSMOS ที่อัดเต็มไปด้วยผีเสื้อ หมู่แมลง และลายดอกไม้ อันถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญของ Gucci จากงานศิลปะบนผืนผ้า สู่ผ้าพันคอของเจ้าหญิงเกรช ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ Rodolfo Gucci และนักสร้างสรรค์ของกุชชี่ทุกคน



เมื่อเดินทางมาถึงครึ่งทางจะเจอกับรูปปั้นขนาดใหญ่ที่มีความสูงกว่า 10 เมตร ยืนรออยู่บริเวณตรงกลาง รูปปั้นขนาดใหญ่นี้สะท้อนความเชื่ออันแข็งแรงของเฮ้าส์ที่มีต่อคำว่า ‘Unisex’ ผ่านไอคอนิกสูท ที่ถือได้ว่าเป็นไอคอนิคดีไซน์ของ 3 ดีไซน์เนอร์ผู้ยิ่งใหญ่ของเฮ้าส์ ตั้งแต่สูทสีแดงจากยุค Tom Ford ในปี 1996 สูทลายตารางจาก Frida Giannini และสูทลายดอกไม้จาก Alessandro Michele ในปี 2020



โลกใบถัดมา ชื่อว่า Archivio ห้องสีฟ้าสดใสที่มาพร้อมทางเดินคล้ายเขาวงกตนี้ ชวนให้นึกถึง Gucci Archive ในเมืองฟลอเรนซ์ เรียงรายไปด้วยตู้และลิ้นชักมากมาย สำหรับโลกใบสีฟ้าของกุชชี่ ยังได้โชว์กระเป๋าไอคอนิกหาชมได้ยากอีกด้วย นั่นก็คือ Bamboo Bag ปี 1947, Jackie 1961, Horsebit 1955, Gucci Diana และ the Dionysus



ซึ่งทางเดินเขาวงกตนี้จะนำทางพาทุกคนไปเจอโลกใบที่ 6 ที่ซ่อนตัวอยู่ด้านใน ที่มีชื่อว่า Cabinet of Wonders ที่ประกอบด้วยทุกอย่างตั้งแต่คอลเลคชั่น Tom Ford 2001 กับชุดหนังสีดำไปจนถึงชุดราตรีสีทองของ Frida Giannini ในปี 2006 ไปจนถึงเดรสแหวกแนวโดย Alessandro Michele ในปี 2018 ที่ปักด้วยลูกไม้ ไข่มุก และลูกปัด





โลกใบที่ 7 มีชื่อว่า Carousel รวบผลงานผ่านหุ่นจัดแสดงทั้งหมด 32 ชุด ในหลายยุคสำคัญตั้งแต่กระโปรงผ้าไหมและกระโปรงลายตัวอักษร G จากปี 1970 ชุดเบลเซอร์ Unisex ของ Torm Ford ปี 1996 และเดรสอัดพลีตสีม่วงก่ำ ที่เคยสวมใส่จริงมาแล้ว บนเลดี้ กาก้า และใหม่ ดาวิกา จากฝีมือของ Alessandro Michele



ก่อนจะขมวดกลับสู่บ้านอันเป็นรากฐานของทุกๆ อย่าง ทั้งศิลปะ วัฒนธรรรม คราฟส์แมนชิพ ผ่านงานอาร์ตขนาดใหญ่ ด้วยการจำลองหลังคา Duomo จากเมืองฟรอเรนซ์ สมกับเป็นนิทรรศการที่เฉลิมฉลองคุณค่าอันเป็นนิรันดร์ที่ น่ายินดียิ่งของแฟชั่นแห่งนี้ ‘Gucci’
GUCCI COSMOS จัดแสดงที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ตั้งแต่วันนี้ ถึง 25 มิถุนายน 2566