ยานอวกาศได้แลนดิ้งที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ราวกับว่านี่คือ ฉากในหนังไซไฟ แต่ที่จริงนี่คือโชว์คอลเลกชั่นฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว 2018 ของ Louis Vuitton ที่ได้ใช้พื้นที่ Central Pavilion ของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัย พระเจ้านโปเลียนที่สาม และไม่ได้เปิดให้ใครใช้มานานกว่าร้อยปีแล้ว มาแปรเปลี่ยนเป็นรันเวย์สุดเก๋จากทางเดินลาดโค้งรูปวงกลม มีสระบัวอยู่ตรงกลางเชื่อมต่อมายังพื้นท่ีสร้างขึ้นใหม่ แลดูเหมือนยานอวกาศในโลกอนาคต คล้ายกับจะบอกว่านี่คือสไตล์ที่เชื่อมต่อ จากอดีตสู่โลกอนาคต

ไม่รู้ว่าปีนี้อากาศจะหนาวแค่ไหน ถึงต้องใส่โค้ตกันหนาวเลเยอร์แล้วเลเยอร์เล่าจนกลายเป็นลุคนี้ที่ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากของ Balenciaga ในโชว์คอลเลกชั่นฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว 2018 ที่ผ่านมา แม้ว่าเด็มน่า กวาซาเลีย จะเข้ามาเปลี่ยนสไตล์ของ Balenciaga ในแบบที่ว่าไม่เหลือเค้าโครงในแบบดั้งเดิมเลยก็ตามที จนหลายคนตกอกตกใจกับสไตล์ใหม่ที่ห่างไกลจากที่คริส-โตบัล บาเลนเซียก้า ได้สร้างสรรค์ไว้ แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าในสไตล์ใหม่ภายใต้การสร้างสรรค์ของกวาซาเลีย ล้วนหยิบยืมรายละเอียดบางอย่างจากเอก- ลักษณ์ที่คริสโตบัล บาเลนเซียก้าได้เคยทำไว้มาดัดแปลงให้เป็นรูปแบบใหม่ ทันสมัยและมีความเป็นแฟชั่นในแบบปัจจุบัน ดังเช่นลุคนี้ หากดูดีๆ จะเห็นได้ว่าภายใต้การทับซ้อนกันของเสื้อโค้ตบนตัวนางแบบนี้ก่อให้เกิดรูปทรงชุดที่เรียกว่า Trapeze อันเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของ Balenciaga รวมไปถึงการตัดเย็บชายเสื้อที่ม้วนโค้งนั่นก็ด้วย แม้รูปแบบเสื้อผ้าจะเปลี่ยนไป แต่รากเหง้าในความเป็น Balenciaga ยังมีให้เห็นอยู่เสมอ
แฟชั่นนั้นไม่มีกฎเกณฑ์อีกต่อไปแล้ว ไม่มีสีสำหรับซัมเมอร์ และไม่มีสีสำหรับวินเทอร์ และการไม่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้ Mulberry ได้แสดงให้เราเห็นในพรีเซนเทชั่นคอลเลกชั่นฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว 2018 นี้แล้ว เพราะในคอลเลกชั่นนี้ของ Mulberry เต็มไปด้วยสีสดเกือบทุกเฉดเลยก็ว่าได้ ทั้งสีม่วงไลแล็ก สีเหลือง สีเขียว สีฟ้า สีแดง อีกทั้งยังสามารถจับทุกสีมาสร้างลุคเสื้อผ้าในหนึ่งลุคได้อย่างลงตัว และไม่ใช่เพียงแค่เสื้อผ้าเท่านั้น แอ็กเซสซอรี่ในคอลเลกชั่นนี้ก็เช่นเดียวกัน ทั้งรองเท้าส้นเตี้ยประดับเฟอร์สีเหลืองสด กระเป๋าหนังลายดอกไม้ หรือต่างหูคริสตัลหลากสี เรียกได้ว่านี่เเป็นคอลเลกชั่นฤดูหนาวที่สดใสยิ่งกว่าฤดูร้อนเสียอีก
โชว์ครั้งนี้เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนที่อูแบรต์ เดอ จิวองชี่ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Givenchy จะเสียชีวิต และถือเป็นคอลเลกชั่นที่สองของแคลร์ เวท เคลเลอร์ ในการทำงานที่ Givenchy ซึ่งเธอกล่าวว่าคอลเลกชั่นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเขย่าขวัญในยุค ’80s อย่าง The Hunger ที่มีเดวิด โบวี่ และซูซาน ซาแรนดอน แสดงนำ โดยฉากในหนังส่วนใหญ่นั้นฉายภาพคลับในนิวยอร์กในช่วงยุค ’80s เสื้อผ้าในคอลเลกชั่นนี้จึงเต็มไปด้วยความหรูหรา ทว่าลดทอนความหรูให้ดูก๋ากั่นในแบบ ’80s มากกว่า รวมทั้งโดดเด่นด้วยเฟอร์ หนัง และความแวววาวของเนื้อผ้าทั้งลูเร็กซ์และกลิตเตอร์ ที่สามารถใส่ได้ตั้งแต่งานปาร์ตี้สุดหรู ตระเวนราตรีในคลับสุดเก๋ไปจนถึงงานพรมแดงเลยทีเดียว
มาเรีย กราเซีย คิอูรี มีโอกาสได้ชมนิทรรศการการลุกฮือขึ้นมาประท้วง ของกลุ่มนักศึกษาฝรั่งเศสในปี 1968 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ และในเดือนเมษายนนี้จะครบรอบ 50 ปีของเหตุการณ์ดังกล่าว สิ่งที่อยู่ในใจของคิอูรี ก็คือในเวลานั้นห้องเสื้อ Dior ทำอะไรอยู่ แล้วถ้าสาว Dior เป็นอีกหนึ่งคน ที่มีส่วนร่วมในการประท้วงครั้งนั้นล่ะ สาว Dior จะดูเป็นเช่นไร และนี่คือที่มาของ คอลเลกชั่นฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว 2018 นี้ของ Christian Dior กลิ่นอาย ของเสื้อผ้าในคอลเลกชั่นนี้เห็นได้ชัดเจนว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากยุคสายลมแสงแดด ของเหล่าฮิปปี้สาวผู้รักความอิสระเสรี ผสมผสานกับการเป็นปีที่มาร์ก โบแฮน ดีไซเนอร์ในยุคนั้นได้สร้างสรรค์ Miss Dior และไลน์เสื้อผ้าเรดี้ทูแวร์ในปี 1968 พอดิบพอดี เสื้อผ้าที่ออกมาจึงเต็มไปด้วยสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ ข้อความการประท้วง สีสันและรายละเอียดในแบบยุคสายลมแสงแดด ดอกไม้ งานแพตช์เวิร์ก และความเป็นเรดี้ทูแวร์ในแบบ Dior ที่ยังเต็มไปด้วย ความหรูหราและการตัดเย็บในแบบงานฝีมือ
น่าจะเป็นโชว์ที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากในซีซั่นล่าสุดนี้ กับความสร้างสรรค์ของอเลสซานโดร มิเคเล่ แห่ง Gucci ที่สามารถนำวัฒนธรรมต่างๆ มาผสมผสานรวมกันได้อย่างลงตัวจนเกิดเป็นสไตล์ที่น่าสนใจ แปลกใหม่ และไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะแอ็กเซสซอรี่ในคอลเลกชั่นนี้ที่ตระการตาไปด้วยรายละเอียดอันวิจิตร ผสมผสานความคลาสสิกของ Gucci ทั้งแถบสี ลายโมโนแกรม และโลโก้ที่ยังคงเป็นสิ่งที่คนแฟชั่นยังคงเรียกหาในทุกคอลเลกชั่น

Trapeze Style
ไม่รู้ว่าปีนี้อากาศจะหนาวแค่ไหน ถึงต้องใส่โค้ตกันหนาวเลเยอร์แล้วเลเยอร์เล่าจนกลายเป็นลุคนี้ที่ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากของ Balenciaga ในโชว์คอลเลกชั่นฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว 2018 ที่ผ่านมา แม้ว่าเด็มน่า กวาซาเลีย จะเข้ามาเปลี่ยนสไตล์ของ Balenciaga ในแบบที่ว่าไม่เหลือเค้าโครงในแบบดั้งเดิมเลยก็ตามที จนหลายคนตกอกตกใจกับสไตล์ใหม่ที่ห่างไกลจากที่คริส-โตบัล บาเลนเซียก้า ได้สร้างสรรค์ไว้ แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าในสไตล์ใหม่ภายใต้การสร้างสรรค์ของกวาซาเลีย ล้วนหยิบยืมรายละเอียดบางอย่างจากเอก- ลักษณ์ที่คริสโตบัล บาเลนเซียก้าได้เคยทำไว้มาดัดแปลงให้เป็นรูปแบบใหม่ ทันสมัยและมีความเป็นแฟชั่นในแบบปัจจุบัน ดังเช่นลุคนี้ หากดูดีๆ จะเห็นได้ว่าภายใต้การทับซ้อนกันของเสื้อโค้ตบนตัวนางแบบนี้ก่อให้เกิดรูปทรงชุดที่เรียกว่า Trapeze อันเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของ Balenciaga รวมไปถึงการตัดเย็บชายเสื้อที่ม้วนโค้งนั่นก็ด้วย แม้รูปแบบเสื้อผ้าจะเปลี่ยนไป แต่รากเหง้าในความเป็น Balenciaga ยังมีให้เห็นอยู่เสมอ

Colorful Winter
แฟชั่นนั้นไม่มีกฎเกณฑ์อีกต่อไปแล้ว ไม่มีสีสำหรับซัมเมอร์ และไม่มีสีสำหรับวินเทอร์ และการไม่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้ Mulberry ได้แสดงให้เราเห็นในพรีเซนเทชั่นคอลเลกชั่นฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว 2018 นี้แล้ว เพราะในคอลเลกชั่นนี้ของ Mulberry เต็มไปด้วยสีสดเกือบทุกเฉดเลยก็ว่าได้ ทั้งสีม่วงไลแล็ก สีเหลือง สีเขียว สีฟ้า สีแดง อีกทั้งยังสามารถจับทุกสีมาสร้างลุคเสื้อผ้าในหนึ่งลุคได้อย่างลงตัว และไม่ใช่เพียงแค่เสื้อผ้าเท่านั้น แอ็กเซสซอรี่ในคอลเลกชั่นนี้ก็เช่นเดียวกัน ทั้งรองเท้าส้นเตี้ยประดับเฟอร์สีเหลืองสด กระเป๋าหนังลายดอกไม้ หรือต่างหูคริสตัลหลากสี เรียกได้ว่านี่เเป็นคอลเลกชั่นฤดูหนาวที่สดใสยิ่งกว่าฤดูร้อนเสียอีก

Scene from the Club
โชว์ครั้งนี้เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนที่อูแบรต์ เดอ จิวองชี่ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Givenchy จะเสียชีวิต และถือเป็นคอลเลกชั่นที่สองของแคลร์ เวท เคลเลอร์ ในการทำงานที่ Givenchy ซึ่งเธอกล่าวว่าคอลเลกชั่นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเขย่าขวัญในยุค ’80s อย่าง The Hunger ที่มีเดวิด โบวี่ และซูซาน ซาแรนดอน แสดงนำ โดยฉากในหนังส่วนใหญ่นั้นฉายภาพคลับในนิวยอร์กในช่วงยุค ’80s เสื้อผ้าในคอลเลกชั่นนี้จึงเต็มไปด้วยความหรูหรา ทว่าลดทอนความหรูให้ดูก๋ากั่นในแบบ ’80s มากกว่า รวมทั้งโดดเด่นด้วยเฟอร์ หนัง และความแวววาวของเนื้อผ้าทั้งลูเร็กซ์และกลิตเตอร์ ที่สามารถใส่ได้ตั้งแต่งานปาร์ตี้สุดหรู ตระเวนราตรีในคลับสุดเก๋ไปจนถึงงานพรมแดงเลยทีเดียว

Modern Hippie
มาเรีย กราเซีย คิอูรี มีโอกาสได้ชมนิทรรศการการลุกฮือขึ้นมาประท้วง ของกลุ่มนักศึกษาฝรั่งเศสในปี 1968 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ และในเดือนเมษายนนี้จะครบรอบ 50 ปีของเหตุการณ์ดังกล่าว สิ่งที่อยู่ในใจของคิอูรี ก็คือในเวลานั้นห้องเสื้อ Dior ทำอะไรอยู่ แล้วถ้าสาว Dior เป็นอีกหนึ่งคน ที่มีส่วนร่วมในการประท้วงครั้งนั้นล่ะ สาว Dior จะดูเป็นเช่นไร และนี่คือที่มาของ คอลเลกชั่นฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว 2018 นี้ของ Christian Dior กลิ่นอาย ของเสื้อผ้าในคอลเลกชั่นนี้เห็นได้ชัดเจนว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากยุคสายลมแสงแดด ของเหล่าฮิปปี้สาวผู้รักความอิสระเสรี ผสมผสานกับการเป็นปีที่มาร์ก โบแฮน ดีไซเนอร์ในยุคนั้นได้สร้างสรรค์ Miss Dior และไลน์เสื้อผ้าเรดี้ทูแวร์ในปี 1968 พอดิบพอดี เสื้อผ้าที่ออกมาจึงเต็มไปด้วยสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ ข้อความการประท้วง สีสันและรายละเอียดในแบบยุคสายลมแสงแดด ดอกไม้ งานแพตช์เวิร์ก และความเป็นเรดี้ทูแวร์ในแบบ Dior ที่ยังเต็มไปด้วย ความหรูหราและการตัดเย็บในแบบงานฝีมือ

Cross Culture
น่าจะเป็นโชว์ที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากในซีซั่นล่าสุดนี้ กับความสร้างสรรค์ของอเลสซานโดร มิเคเล่ แห่ง Gucci ที่สามารถนำวัฒนธรรมต่างๆ มาผสมผสานรวมกันได้อย่างลงตัวจนเกิดเป็นสไตล์ที่น่าสนใจ แปลกใหม่ และไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะแอ็กเซสซอรี่ในคอลเลกชั่นนี้ที่ตระการตาไปด้วยรายละเอียดอันวิจิตร ผสมผสานความคลาสสิกของ Gucci ทั้งแถบสี ลายโมโนแกรม และโลโก้ที่ยังคงเป็นสิ่งที่คนแฟชั่นยังคงเรียกหาในทุกคอลเลกชั่น