Code 11.59 รหัสลับของ Audemars Piguet ที่ใครๆ ก็อยากรู้ความหมาย

ค้นหาคำตอบได้จากบทสนทนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับ Michael L. Friedman นักประวัติศาสตร์ประจำแบรนด์
บรรยากาศภายในห้องพรีเซนเทชั่นสำหรับสื่อมวลชนของโอเดอร์มาร์ ปิเกต์ (Audemars Piguet) ที่งาน SIHH 2019 เมืองเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ นั้นเป็นไปอย่างคึกคัก ทั้งด้วยความคล่องแคล่วและฉะฉานของผู้บรรยาย ความแอ็กทีฟของสื่อมวลชนที่เข้าชม กิจกรรมที่สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่าย และคอนเซ็ปต์เรือนเวลาแบบใหม่ที่น่าสนใจ โดยมีไฮไลท์ที่สุดอยู่ที่การเปิดตัวนาฬิกา Code 11.59 พร้อมกันทีเดียวถึง 13 โมเดล ซึ่งมาทั้งรุ่นกลไกไขลานอัตโนมัติ ปฏิทิน โครโนกราฟ ฟลายอิ้งตูร์บิญอง มินิทรีพีตเตอร์ โดยมีรหัส 11.59 ที่สื่อถึงตัวเลขก่อนก้าวเข้าสู่วันใหม่บนนาฬิกาข้อมือ หมายถึงการเป็นแบรนด์ที่จะสร้างสรรค์ผลงานให้ก้าวล้ำนำหน้าไป 1 ก้าวเสมอ
ผู้บรรยายในวันนั้นคือ มร. ไมเคิล แอล ฟรีดแมน (Mr. Michael L. Friedman) นักประวัติศาสตร์ประจำแบรนด์โอเดอมาร์ ปิเกต์ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์แห่งการบอกเวลา นักประมูล และคิวเรเตอร์ ที่เข้ามาร่วมงานกับโอเดอมาร์ ปิเกต์ ตั้งแต่ปี 2013 หน้าที่ความรับผิดชอบหลักๆ ของเขาคือ การรวบรวมจัดเก็บนาฬิกาหายากของแบรนด์เข้าพิพิธภัณฑ์ จัดการด้านความสัมพันธ์กับองค์กรการประมูล นักสะสม และผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก รวมไปถึงการสร้างสรรค์และพัฒนาแบรนด์คอนเทนต์  ความพิเศษคือการที่บาซาร์ได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาอย่างเป็นส่วนตัวที่งาน SIHH ครั้งนี้ด้วย ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องราวของแนวคิดคอลเลกชั่นใหม่ๆ แต่เขายังทำให้เราเข้าใจแนวคิดของแบรนด์ชัดเจนมากขึ้นด้วย
Harper’s Bazaar: ดูจากดีไซน์ของคอลเลกชั่นในปีนี้ที่มีความร่วมสมัยมากขึ้น แสดงว่าในยุคหลังๆ โอเดอมาร์ ปิเกต์ ออกแบบนาฬิกาเพื่อคนรุ่นใหม่มากขึ้นด้วยหรือเปล่า

Michael L. Friedman: โอเดอมาร์ ปิเกต์ เป็นบริษัทที่ยังคงดำเนินธุรกิจสืบทอดกันในครอบครัวผู้ก่อตั้งมาจนถึงปัจจุบัน แน่นอนว่าเรานึกถึงคนรุ่นถัดไปตลอดเวลาอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญและสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าทุกช่วงวัย และการสื่อสารของเราเป็นแบบซึ่งกันและกัน ไม่ใช่สื่อสารฝั่งเดียว เราฟังมากพอๆ กับที่เราพูด มีหลายๆ คอลเลกชั่นที่โฟกัสไปที่กลุ่มคนหนุ่มสาว แต่เวลาเราพูดถึงความหนุ่มสาว เราไม่ได้หมายถึงอายุเท่านั้น แต่หมายถึงคนที่ยังมีความสดใหม่ในความคิดและจิตวิญญาณ ลูกค้าหลายๆ คนก็เติบโตไปพร้อมๆ กับแบรนด์ ในช่วงอายุหนึ่งเขาสะสมคอลเลกชั่นหนึ่ง พอวันเวลาผ่านไป เขาก็หันมาสนใจอีกคอลเลกชั่น
HB: ในการออกแบบนาฬิกาของโอเดอมาร์ ปิเกต์ มีการตามเทรนด์ไหม

MF: เรามองไปยังสิ่งที่อยู่นอกไปจากการประดิษฐ์นาฬิกา มากกว่าสิ่งที่อยู่ข้างใน เรามองวัฒนธรรมในองค์รวม ในแต่ละขั้นตอนของเราคือการเรียนรู้ไปด้วย ความรู้สึกใหม่ๆ นำไปสู่กฏเกณฑ์ที่แตกต่าง สำหรับ Code 11.59 เรารู้ว่าเราจะสร้างสรรค์นาฬิกาที่มีความร่วมสมัย เราดูเทคโนโลยีที่เรามีและสิ่งที่มันสามารถจะให้ได้ อย่างเช่น การทำโลโก้ด้วยเทคนิค 3D Printing ที่รังสรรค์ด้วยกระบวนการทางเคมี เรียกว่า Galvanic Growth ก่อนนำมาร้อยเรียงบนหน้าปัดด้วยมือ ทำให้ตัวอักษรแต่ละตัวถูกเชื่อมไว้ด้วยเส้นที่มีความบางเทียบเท่าเส้นผม และดีไซน์คริสคัลทรงโค้ง 2 ชั้น ซึ่งโอเดอมาร์ ปิเกต์ คิดค้นขึ้นเพื่อ Code 11.59 โดยเฉพาะ

 

ถ้าหากเราเปรียบเทียบงานเพนต์ติ้งของแวน โก๊ะห์ แขวนอยู่บนกำแพง คนที่รู้ศิลปะมองปราดเดียวเขาจะรู้เลยว่านี่งานของใคร หรือจากยุคไหน ด้วยสไตล์ ด้วยสี หรือแสงเงาที่ใช้ แต่ถ้าเกิดเป็นงานศิลปะร่วมสมัยของศิลปินใหม่ๆ อย่างสมมุติงานของฌอง-มิเชล บาสเกียต (Jean-Michel Basquiat) คุณอาจจะไม่สามารถบอกได้ในครั้งเดียวว่าเป็นงานของใคร ไม่สามารถเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที เพราะการแสดงออกแบบร่วมสมัย (Contemporary expression) เป็นเรื่องของการค้นพบ การหยิบมาค้นพบใหม่ การสำรวจรายละเอียด และกระบวนความคิดเบื้องหลัง นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับเราในการเข้าไปให้ถึงความคิดในขั้นนี้

 
HB: ศิลปะและงานฝีมือมีบทบาทสำคัญสำหรับการออกแบบสร้างสรรค์นาฬิกาของโอเดอมาร์ ปิเกต์แค่ไหน

MF: เป็นแก่นที่มีความสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ งานออกแบบของเราคือการหาจุดสมดุลระหว่างหัตถศิลป์ อย่างงานทำมือในขั้นตอนต่างๆ กับการสื่อสารผ่านงานดีไซน์ เราใส่ใจรายละเอียดและทำอย่างประณีต ส่วนประกอบทุกชิ้นต้องสอดคล้องและไปด้วยกัน เหมือนคณะบัลเลต์หรือการบรรเลงวงซิมโฟนี เราท้าทายและแข่งขันกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาในการก้าวข้ามขีดจำกัดทางด้านหัตถศิลป์
HB: ทางแบรนด์กำลังจะสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ซึ่งเป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ ตอนนี้ความคืบหน้าเป็นอย่างไรบ้าง

MF: ใช่ครับ ตอนนี้มิวเซียมกำลังก่อสร้าง ทุกอย่างกำลังไปได้ดี โครงสร้างด้านนอกและส่วนที่เป็นกระจกเสร็จหมดแล้ว เชื่อมต่อกับมิวเซียมเดิม ซึ่งเราจะมีอีเวนต์เปิดตัว Code 11.59 ที่นั่นด้วย โดยจะมีลูกค้าจากทั่วโลกมาร่วมงาน จะเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นมากๆ ส่วน Soft opening ของตัวมิวเซียมเองน่าจะเป็นช่วงปลายปี 2019 และเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้ต้นปี 2020 ขึ้นอยู่กับฤดูหนาวว่าจะยาวนานไหม เพราะถ้ามีหิมะตกเยอะ ก็จะเป็นอุปสรรคพอสมควร ที่นั่นจะมีส่วนที่เป็นโรงแรมด้วย ตัวอาคารจะแยกออกจากมิวเซียมแต่สถาปัตยกรรมเป็นรูปแบบเดียวกัน บอกได้ว่าเรากำลังจะมีมิวเซียม โรงแรม แมนูแฟคเจอร์ และสำนักงานใหญ่ ทุกอย่างอยู่ในที่เดียวกัน เป็นโอกาสให้ลูกค้าได้เข้ามาเยี่ยมชมที่เลอ บราซู โดยจะใช้เวลาไม่ใช่แค่ในช่วงบ่ายวันหนึ่ง แต่อาจจะต้อง 2-3 วัน และเขาจะไม่ได้แค่มาทำความรู้จักกับแบรนด์โอเดอมาร์ ปิเกต์ แต่ได้สัมผัสวัฒนธรรมและแลนด์สเคปของวัลเลย์ เดอ ฌูซ์ ไม่ว่าจะด้วยการไปเดินเขา ไปสกี กลับมาที่มิวเซียม แล้วไปโรงงาน พูดคุยกับช่างนาฬิกา มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นและน่าสนุกมากๆ
BZ: แนวคิดหลักของการสร้างสรรค์นาฬิกา สำหรับโอเดอมาร์ ปิเกต์ เป็นแบบไหน

MF: เราไม่ได้สร้างสรรค์นาฬิกาสำหรับทุกคน นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเรา เป้าหมายของเราคือสร้างสรรค์นาฬิกาที่แหวกขนบ นำเสนอจินตนาการและแพสชั่น แสดงให้เห็นคุณค่าของงานฝีมืออันประณีต และโชว์ศักยภาพของเทคโนโลยี ถ้าเราทำนาฬิกาสำหรับทุกคน นั่นหมายความว่าเราไม่ได้ทำนาฬิกาสำหรับใครเลย ก็เหมือนเรากำลังทำนาฬิกาที่จะไม่ได้รับการจดจำต่อไปในอนาคต เรากำลังสร้างสรรค์นาฬิกา เครื่องบอกเวลา ใช่ครับ แต่ขณะเดียวกันมันก็คืองานดีไซน์ การแสดงออก และศิลปะงานฝีมือ เราใส่ใจสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างมาก เพราะบริษัทเป็นธุรกิจครอบครัวที่ยังคงดำเนินกิจการอย่างเป็นอิสระ และเรากำลังนำเสนอตัวตนผ่านเรือนเวลาต่างๆ ที่เราสร้างสรรค์ขึ้น และจะยังคงอยู่ต่อไปในอนาคต

TAG

Related Stories

Personal Layered ธีมหลักของเสื้อผ้าและแฟชั่นไอเท็มในคอลเลกชั่น Spring/Summer 2024
พร้อมด้วยเหล่าเซเลบริตี้มากมาย ที่มาร่วมงานเปิดไฟต้นคริสต์มาส ณ ลาน พาร์ค พารากอน
เมื่อ Balenciaga city bag ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นกระเป๋าที่มีทุกบ้านกำลังจะกลับมา
Van Cleef & Arpels : Time, Nature, Love พาชมความงามของเครื่องประดับชั้นสูงผ่านนิทรรศการที่ถักทอไว้ด้วยเรื่องราวแห่งเวลา ธรรมชาติ และรัก
สร้อยทองคำขาวประดับอัญมณีรวม 964 เม็ด รังสรรค์ผ่านระยะเวลากว่า 450 ชั่วโมง

Most Viewed

สร้อยทองคำขาวประดับอัญมณีรวม 964 เม็ด รังสรรค์ผ่านระยะเวลากว่า 450 ชั่วโมง
จิตวิญญาณของดินแดนอินโดจีนผ่านผู้คน ชุมชน อาหาร และโบราณสถานอันงดงาม ผ่านการเชื่อมโยงของสองรีสอร์ทหรู Amantaka หลวงพระบาง และ Amansara ในเสียมเรียบ
สร้อยทองคำขาวประดับอัญมณีรวม 964 เม็ด รังสรรค์ผ่านระยะเวลากว่า 450 ชั่วโมง
จิตวิญญาณของดินแดนอินโดจีนผ่านผู้คน ชุมชน อาหาร และโบราณสถานอันงดงาม ผ่านการเชื่อมโยงของสองรีสอร์ทหรู Amantaka หลวงพระบาง และ Amansara ในเสียมเรียบ

MORE FROM

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว