Gabrielle Chanel ออกจากกูตูร์เฮ้าเลขที่ 31 ณ rue Cambon ไปยัง Ritz บน Place Vendome ราวกับว่าสิ่งที่เธอมองเห็นตรงหน้าจะกลายเป็นอนาคตของเธออย่างไรอย่างนั้น สถานที่แห่งนี้เปรียบดั่งจุดพักสายตาพร้อมดื่มด่ำกับกลิ่นหอมของดอกจัสมิน และในเวลานั้น Gabrielle Chanel คงยังไม่รู้ว่าบ้านเลขที่ 18 จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของเธอได้อย่างไรเช่นกัน

ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นเมื่อปี 1686 สถาปนิกแห่งแวร์ซายผู้โด่งดังอย่าง Mansart ได้ออกแบบจัตุรัสแห่งนี้เพื่อใช้เป็นที่ตั้งของ Academies และ Royal Library โดยมีรูปปั้นม้าของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 อยู่ตระหง่านอยู่ตรงกลางเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรุ่งเรืองของกองทัพ ครั้งแล้วครั้งเล่าจตุรัสถูกปิดแต่ในขณะเดียวกันนั้นภายนอกของอาคารที่ถูกสร้างขึ้นก่อนที่ใครจะรู้ว่าภายในนั้นมีสิ่งสำคัญอะไรแอบซ่อนไว้เบื้องหลัง

ผ่านเวลามาเนิ่นนานอาคารหมายเลข 18 เปลี่ยนมือไปและถูกซื้อขายไปจากผู้ครอบครองหลายต่อหลายคนจนกระทั่งในปี 1997 Gabrielle Chanel ได้ซื้ออาคารหมายเลข 18 เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับทำเครื่องประดับและนาฬิกา รวมไปถึงกลายเป็นสตูดิโอสร้างสรรค์ของช่างอัญมณี ก่อให้เกิดคอลเลกชั่น Patrimoine ไปจนถึงบูติกอย่างทุกวันนี้ และเพื่อที่ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ของอาคารที่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของ Gabrielle Chanel รวมถึงมรดกแห่งชีวิตที่ซึ่งเสรีภาพและความคิดสร้างสรรค์ที่เปี่ยมไปด้วยช่างฝีมือผู้มีทักษะที่สรรสร้างอัญมณีที่หายากที่สุดให้กลายเป็นชิ้นงานล้ำค่า

หลังจากเปิดใช้งานมาเป็นเวลาหนึ่งปี สถาปนิกชาวอเมริกันผู้โด่งดังอย่าง Peter Marino ได้คิดค้นสิ่งใหม่บนพื้นที่สามชั้นด้วยเส้นสายที่โฉบเฉี่ยวและศิลปะงานฝีมือที่กลั่นกรอง รวมถึงความน่าลิ้มลองอันยอดเยี่ยมมารวมกันเพื่อหล่อหลอมวิสัยทัศน์ร่วมสมัยของโลกส่วนตัวของ Gabrielle Chanel ที่จะทำให้การเดินเข้าไปใน n°18 อีกครั้งเปรียบดั่งการเข้าสู่การเดินทางของชีวิตของเธอ โลกของเธอ และความฝันของเธอ เพราะล้วนรายล้อมไปด้วยรายละเอียดอันงามวิจิตร ทั้งห้องโถงที่มีผนังโปร่งแสงดูเหมือนจะเล่นกับช่องว่างต่างๆ เช่นเขาวงกต เป็นการบอกเล่าถึงบรรยากาศที่รออยู่เบื้องหน้าในเฉดสีทอง สีเบจ และสีน้ำตาล

หากเดินตรงเข้าไป ทางด้านขวาจะพบกับการตกแต่งด้วยการเพิ่มเท็กเจอร์ของ ‘Composition’ ซึ่งเป็นสีน้ำมันบนผ้าใบที่รังสรรค์โดย Nicolas de Staël ในปี 1950 ซึ่งสะท้อนถึงเส้นสายและจักรวาลแห่งแร่ของจัตุรัส ภาพวาดสะท้อนอยู่ในกระจกที่วางสมมาตรกันนั้นทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถชื่นชมได้จากทุกมุมมอง นอกจากนี้แล้วภายในยังล้วนเต็มไปด้วยเหล่าผลงานล้ำค่าจากศิลปินเลื่องชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้และรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ที่เป็นผลงานจาก Voukenas Petrides, โต๊ะกาแฟโดย Reda Amalou ที่ช่วยเติมเต็มพื้นที่ด้วยความเงางามสีทอง หรือโต๊ะยาวทำจากไม้โอ๊คดำและเก้าอี้ที่ทำจากไม้โอ๊คขัดสีอ่อนทั้งตั้งอยู่ตรงกลางของพื้นที่อันโอ่อ่า

บนพื้นที่ชั้นหนึ่ง ราวบันไดสามชั้นให้ทัศนียภาพของร้านบูติกในมุมสูง แสงของ Place Vendome ส่องเข้ามาทางหน้าต่างหลักสามบานเพื่อเผยให้เห็นการสร้างสรรค์อันโดดเด่นที่สุดของ Fine Watchmaking ในขณะที่ทางด้านซ้ายจะพบกับผลงาน Colonnes’ โดย Farfelus Farfadets และ ‘New Neurose’ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของ Johan Creten พร้อมกับมองเห็นโต๊ะ ‘Hamada Low’ สีบรอนซ์ขาวและไม้โอ๊คสีดำดิบโดย Jean-Luc Le Mounier ต้องอยู่ใจกลางพื้นที่ห้องที่ถูกล้อมไปด้วยผนังและโต๊ะเคลือบแล็กเกอร์สีขาวหรือสีดำ ซึ่งตัดกับสีทองของตู้โชว์และเก้าอี้ที่ถูกจัดวางอย่างดี

โดยทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทุกคนจะได้เข้าไปสัมผัสกับเรื่องราวและกลิ่นอายของความเป็น Chanel รวมไปถึงจุดเริ่มต้นของความฝันและความคิดสร้างสรรค์ของ Gabrielle Chanel ที่ล้วนรายล้อมไปด้วยผลงานศิลปะและรสนิยมเฉียบแหลม ที่ถูกถ่ายทอดผ่านคอลเลกชั่นแล้วคอลเลกชั่นเล่าจากมุมมองของเธอ ซึ่ง 18 Place Vendome จึงเปรียบดั่งที่ตั้งซึ่งเป็นดั่งสัญลักษณ์ของ Chanel ที่พร้อมจะเปิดประตูอีกครั้งใน 90 ปี หลังจากการสร้าง ‘Bijoux de Diamants’ ซึ่งเป็นคอลเล็กชั่นเครื่องประดับชั้นสูงหนึ่งเดียวที่สถูกร้างขึ้นโดย Mademoiselle Chanel ในปี 1932 และการเปิดประตูสู่โลกของเธอครั้งนี้ ก็เพื่อเผยการตกแต่งสุดงดงามที่มากไปด้วยเรื่องราวและศิลปะชั้นสูงที่รอให้ทุกคนมาสัมผัสความงามล้ำค่าครั้งนี้ด้วยตัวเอง ตั้งแต่ 18 พฤษภาคมเป็นต้นไป





