ความตื่นเต้นจากโชว์ของ Boys of Bangkok นั้นเริ่มตั้งแต่ด้านนอกเต้นท์รันเวย์แฟชั่น เพราะอัดแน่นไปด้วยบรรดาหนุ่มๆ คิ้วท์บอยแห่งยุคทีี่มาร่วมชมโชว์ เรียกเสียงกรีดร้องจากแฟนคลับดังไปทั่วลานพาร์ค พารากอน
จุดร่วมหลักในโชว์ของ Boys of Bangkok ก็คือเสียงเพลง และบรรยากาศแบบเรโทรที่ให้ความรู้สึกสนุกสนานและเปี่ยมไปด้วยพลังหนุ่ม เปิดโชว์แรกด้วยเพลง I Am What I Am ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Leisure Pride” จากแบรนด์ Leisure Projects ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากงาน Pride ที่ทั่วโลกได้จัดขึ้นเพื่อเรียกร้องสิทธิของกลุ่ม LGBT (Lasbian-Gay-Bisexual-Transgender) ตลอดคอลเลคชั่นของฤดูร้อนนี้จึงสอดแทรกไว้ด้วยสายรุ้ง อันเป็นสัญลักษณ์ของชนกลุ่มนี้ที่ทั่วโลกคุ้นเคย ไม่ว่าจะบนเสื้อผ้า เข็มขัด แว่นกันแดด หมวก สายคาดหน้าผาก และเรนโค้ทที่มาครบทั้งเจ็ดสี รวมไปถึงนายแบบสองคนเดินจับมือกันประหนึ่งกำลังเข้าสู่ประตูวิวาห์ เพื่อส่งสารผ่านแฟชั่นว่า ความรักที่แท้จริงนั้นไม่จำกัดเพศสภาพ
ในขณะที่แบรนด์ P.MITH เปิดโชว์ด้วยเสียงกระหึ่มจากเพลง Love is Lost (Hello Steve Reich Mix by James Murphy) ของเดวิด โบวี่ (David Bowie) ศิลปินนักร้องและแฟชั่นไอคอนชื่อดัง ผู้เป็นที่มาของแรงบันดาลใจในคอลเลคชั่น ”Fascination” โดยนำเอาสไตล์การแต่งตัวของเดวิด โบวี่ ในช่วงปลายยุค 70s (1975s-1978s) ที่ได้ชื่อว่าเป็น The Thin White Duke มาตีความใหม่ในแบบของผู้ชาย P.MITH ผสานกับคอนเซ็ปต์หลักของแบรนด์ นั่นคือความโมเดิร์นและคลาสสิกได้อย่างลงตัวภายใต้เฉดสีอุ่นละมุน ก่อนจะปิดโชว์ด้วยเพลง Starman อีกหนึ่งเพลงดังของเดวิด โบวี่เช่นกัน
โชว์สุดท้าย Q Design And Play มาพร้อมเพลงไทยแก่นเก๋ที่ชื่อ “ควรตายด้วยลูกปืน” โดยไฉไล ไชยทา ด้วยเสียงร้องบวกเนื้อหาเสียดสีและท่วงทำนองสนุกสนาน ผสมผสานกันได้อย่างกลมกล่อมกับไอเดียที่ต้องการนำเสื้อผ้าที่พบเห็นตามแหล่งท่องเที่ยวในเมืองไทย ซึ่งคนไทยต่างมองข้ามคุณค่าความสำคัญ แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับชื่นชมและตื่นตาตื่นใจมาตีความใหม่ให้มีมูลค่า ภายใต้งานดีไซน์เชิงล้อเลียน เสียดสี และดึงรายละเอียด สัญลักษณ์ รวมถึงส่วนประกอบต่างๆ ที่ได้รับการดัดแปลง ตัดต่อ และเปลี่ยนให้เป็นเสื้อผ้าสตรีทแวร์ที่อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งความสนุกสนาน ทะมัดทะแมง และแตกต่างอย่างโดดเด่น