การผลัดผิวด้วยกรดเข้มข้น ไร้รูขุมขน หรือ AHA 30% + BHA 2% หลายผลิตภัณฑ์ที่ออกใหม่ในช่วงสองสามปีนี้กลายเป็นการสร้างความคิดให้ผู้บริโภคเชื่อว่า สกินแคร์ที่ยิ่งแรง = สกินแคร์ที่ดี
ไม่กี่ปีก่อนส่วนผสมสกินแคร์ (ที่ช่วยเปลี่ยนเท็กซ์เจอร์ของผิว) เป็นส่วนผสมที่แทบไม่ไปไหนนอกจากอยู่ที่คลินิก แต่ปัจจุบันนี้ผู้บริโภคได้สลัดความกลัวต่อ กรดต่างๆ หรือแม้แต่เรตินอล และการใช้ที่ไม่ระมัดระวัง หรือใช้มากเกินไป จะส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อผิว

ดังนั้นไอเท็มผลัดผิวจึงมาด้วยภารกิจสำคัญในการโบกผิวและรบกวน สกินแบร์ริเออร์ ดูไร้รูขุมขน หรือเรียกว่า glass skin, dumpling skin และไปไกลจนถึง Dolphin Skin กันเลยทีเดียว โดยอาจมองข้ามถึงสุขภาพของผิวที่แท้จริงกันไป
ผิวของคนเราไม่ได้มีคุณสมบัติที่เงาวับเหมือนโลมา ตั้งสติก่อนทุกคน และผลิตภัณฑ์ผลัดผิวบางอย่างก็ไม่ได้เหมาะกับผิวหน้าของทุกคนที่อาจทิ้งความปวดแสบปวดร้อน และระคายเคืองได้
แล้วเกิดอะไรขึ้นละเมื่อ เทรนด์สกินแคร์มุ่งอยู่ตอนนี้ ที่นอกจากจะไม่ให้อะไรกับผิวแล้ว ยังดึงส่วยสำคัญของผิวออกไปด้วย ทำให้ผิวเสียสมดุลแล้วเบลอได้
ผิวคนดูดซึมอะไรก็ตามที่ทาลงไปได้แค่ 60% เท่านั้น คือเรื่องที่ไม่จริง (ไม่งั้นคุณแช่น้ำในอ่างแล้วจมน้ำแน่ๆ) แต่เรื่องจริงแล้วผิวแทบไม่ดูดซึมอะไรเลยต่างกาด นึกภาพถึงการเดินผ่านฝุ่นควัน และสิ่งต่างๆ ที่ทำให้แพ้ หรือแม้แต่น้ำ ก็ไม่อาจซึมผ่านผิวได้ง่ายๆ และนี่ก็คือหน้าที่หลักของ Skin Barrier นั่นเอง

“Skin Barrier คือผิวที่อยู่ชั้นนอกสุด (หรือชื่อวิทยาศาสตร์คือ Stratum Corneum)” อธิบายโดย Paula Begoun ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Paula’s Choice “ชั้นผิวที่มีองค์ประกอบมากมายช่วยปกป้องร่างกาย และมีสารบำรุงอย่าง เซราไมด์ กรดไลโนเลอิก โคเลสเตอรอล กรดอะมิโน และสารประกอบที่มีกรดไขมัน ช่วยปกป้องการสูญเสียของน้ำ และเคลือบผิวปกป้องจากความเสียหายจากแสงแดด มลภาวะ สารก่อความแพ้ และเมื่อไรที่ skin barrier สมบูรณ์ ก็จะช่วยปกป้องผิวจากปัจจัยอันตรายเหล่านี้”

เห็นได้ชัดว่า Skin Barrier คือพันธมิตรสำคัญ แต่ Dr. Kemi Fabusiwa ไดเร็กเตอร์แห่ง Joyful Skin กล่าวว่า การใช้ผลิตภัณฑ์เข้มข้นสูงจะทำร้ายสกินแบร์ริเออร์ได้ “หลายคนทำร้ายผิวชั้นนอกอย่างไม่ตั้งใจ ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์เข้มข้นหลายอย่างด้วยกัน เช่นการใช้กรดผลัดผิวมากกว่า 2 แบบ หรือใช้กรดกับเรตินอลด้วยกัน หรือเรตินอลกับวิตามินซีทำให้ชั้นผิวระคายเคืองและอ่อนแอลงได้”

“ความเสียหายของ Skin Barrier เกิดขึ้นจากการสูญเสียความสมดุลสำคัญ (โดยเฉพาะ เซราไมด์และกรดไขมัน) ซึ่งควรอยู่อย่างสม่ำเสมอทั่วผิว” Begoun กล่าว “สารประกอบคือองค์ประกอบหลักที่ทำให้ผิวเป็นผิว และเมื่อใดที่สารเหล่านี้หายไป ผิวจะขาดคุณสมบัติในการกักเก็บน้ำ และปกป้องตัวเองไม่เต็มที่ ทำให้ผิวอ่อนแอและขาดความชุ่มชื้นมีรอยแดงจนคัน ทำให้ผิวดูแก่ในระยะสั้น และส่งผลระยะยาวหากไม่รีบแก้ไข” และอาการนอกจากที่มองเห็นได้ “ยังมีภัยร้ายที่มองไม่เห็น (ในทันที) คือการพังทลายของคอลลาเจน อีลาสติน แก็งค์ microbiome พิการ ทำให้ผิวลอกผิดปกติ” Begoun เสริม

ทางรักษาไม่ได้หมายความว่าให้คุณโละสกินแคร์ทิ้งไป ส่วนผสมอย่าง เรตินอล วิตามินซี และกรดผลัดผิว สามารถแปลงโฉมผิวให้สวยสดงดงามหากคุณใช้อย่างถูกวิธี และใจเย็นดูการเปลี่ยนแปลงที่อาศัยเวลา และการบำรุงสม่ำเสมอ
หากคุณดูทีท่าว่า Skin Barrier ถูกทำลายแล้ว การประคองให้กลับมาเหมือนเดิมในตอนแรกจะยากหน่อย ผู้เชี่ยวชาญจึงให้คำแนะนำดังนี้




ผิวของคนเราไม่ได้มีคุณสมบัติที่เงาวับเหมือนโลมา ตั้งสติก่อนทุกคน และผลิตภัณฑ์ผลัดผิวบางอย่างก็ไม่ได้เหมาะกับผิวหน้าของทุกคนที่อาจทิ้งความปวดแสบปวดร้อน และระคายเคืองได้

ผิวคนดูดซึมอะไรก็ตามที่ทาลงไปได้แค่ 60% เท่านั้น คือเรื่องที่ไม่จริง (ไม่งั้นคุณแช่น้ำในอ่างแล้วจมน้ำแน่ๆ) แต่เรื่องจริงแล้วผิวแทบไม่ดูดซึมอะไรเลยต่างกาด นึกภาพถึงการเดินผ่านฝุ่นควัน และสิ่งต่างๆ ที่ทำให้แพ้ หรือแม้แต่น้ำ ก็ไม่อาจซึมผ่านผิวได้ง่ายๆ และนี่ก็คือหน้าที่หลักของ Skin Barrier นั่นเอง
Skin Barrier คืออะไร?


สัญญาณความเสียหายของ Skin Barrier


หากคุณดูทีท่าว่า Skin Barrier ถูกทำลายแล้ว การประคองให้กลับมาเหมือนเดิมในตอนแรกจะยากหน่อย ผู้เชี่ยวชาญจึงให้คำแนะนำดังนี้
กอบกู้ผิวพังให้ปังเหมือนเดิมอย่างไร

หยุดการขัดผิว
เว้นการขัดผิวไปก่อน ทั้ง Begoun และ Fabusiwa เห็นพ้องว่าให้เว้นการขัดผิวไปก่อน “หยุดใช้สครับเม็ดใหญ่เนื้อเเข็งไปก่อน” Begoun กล่าว “หลายคนคิดว่าการขัดผิวแรงๆ ด้วยสครับหรือเเปรงคือวิธีการผลัดผิวที่ดีที่สุด แต่ความจริงเป็นวิธีการที่ทำลายและฉีดพื้นผิวในขนาดเล็กที่มองไม่เห็น แต่เห็นผลลัพธ์ (ไม่ดี) ชัดเจนต่อมา”
เลเยอร์สกินแคร์ให้ถูกต้อง
เมื่อพูดถึงการออกฤทธิ์ ขั้นตอนการทาก่อนหลังเป็นกุญแจสำคัญในการให้เกียรติ skin barrier “การเลเยอร์สารออกฤทธิ์ต่างๆ (เรตินอล, วิตามิน ซี, กรดผลัดผิว) กับสารให้ความชุ่มชื้นอย่างกรดไฮยาลูรอนิก และไนอาซินาไมด์ คุณควรทาผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นให้ซึมลงผิวก่อน 15 นาที แล้วค่อยทาไอเท็มที่ออกฤทธิ์แรงตามหลัง” Fabusiwa กล่าว“อย่าผสมสารหลายตัวในการใช้ครั้งเดียว เช่น เรตินอลกับวิตามินซี แต่ให้สลับกันใช้ในแต่ละครั้งดีกว่า ตัวนี้ใช้กลางวัน อีกตัวใช้ตอนกลางคืน”