จากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 กับ La Créme (ลา แครม) รุ่นที่ 8 จาก Clé de Peau Beauté โดยเฟซของแบรนด์ โดนัท มนัสนันท์ เดินเฉิดฉายอยู่ที่ริมแม่น้ำ River View กับผิวเปล่งประกายล้อกับแสงแดด
จนทำให้บาซาร์ทึ่งกับประสิทธิภาพของ The New La Créme ที่เธอทดลองและเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ทดลองกับครีมล้ำค่ารุ่นใหม่ล่าสุดถึงลอนดอนตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา บาซาร์จึงขอพาผู้อ่านทุกท่านย้อนประวัติการเดินทางของสุดยอดครีมที่ใช้เวลาพัฒนาถึง 38 ปี

1992 – La Créme รุ่นที่สองที่พัฒนามาเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น แห้ง หยาบกร้านจากการถูกทำลายด้วยรังสี UV มอบผิวอิ่มเอิบ นุ่มเนียน และดูอ่อนเยาว์

1996 – La Créme รุ่นที่สามที่พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อผิวกระจ่างใส

2004 – Clé de Peau Beauté ได้เล็งเห็นถึงปัญหาผิวที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะผิวที่ถูกทำลายโดยสภาพแวดล้อมภายนอก จึงออกแบบ La Créme ให้ช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงและเปล่งประกาย

2007 – La Créme ที่ช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองได้ชั่วคราว มอบผิวที่ดูมีชีวิตชีวา มีความชุ่มชื้น และช่วยป้องกันผิวจากปัจจัยรอบตัวต่างๆ

2011 – จากการหยิบยกทฤษฎี Intuitive Skin Theory รุ่น 2011 ของ La Créme จึงได้ปรับสูตรและเพิ่ม Illuminating Complex เพื่อให้ผิวเปล่งประกายจากภายใน

2016 – นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสูตรใหม่ที่ยังคงส่วนผสมอันเป็นเอกสิทธิ์อย่าง Illuminating Complex EX ที่พัฒนาขึ้นระหว่างการพัฒนา Intuitive Skin Theory ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและปรับเท็กซ์เจอร์ผิวที่หยาบกร้านให้นุ่มเนียน ช่วยให้ผิวกระชับขึ้นดูอิ่บเอิบและเปล่งปลั่งทุกเช้าเมื่อตื่นนอน

2020 – หลังจากการปรับสูตรมา 7 ครั้ง La Créme รุ่นที่ 8 นี้ อาศัยการค้นพบว่าในยามค่ำคืนผิวจะร้อนและไม่สามารถฟื้นตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ La Créme ในช่วงเวลานั้น Skin-Empowering Illuminator ช่วยซ่อมแซมผิว และป้องกันความเสียหาย โดยมีส่วนผสมที่เพิ่มขึ้นอย่าง CeraFerment Extract ผสมผสานกับส่วนผสมอื่นๆ ถึง 60 ชนิด โดยเป็นสารสกัดหายากในเซราไมด์จากยีสต์ที่พบได้ในจังหวัดอากิตะประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น เป็นยีสต์ที่มีผนังเซลล์ที่แข็งแรงมากและใช้เวลานานถึง 6 ปี ในการสกัดได้อย่างสมบูรณ์แบบ มอบผิวสวยชุ่มชื้น นุมละมุน อ่อนเยาว์ ด้วยเนื้อสัมผัสเข้มข้นแต่ไม่เหนียวเหนอะหนะ ในบรรจุภัณฑ์ที่กลมมนโมเดิร์นขึ้น



แม้แต่แบรนด์แอมบาสเดอร์อย่าง โดนัท มนัสนันนท์ ยังกล่าวว่า “ถ้าให้โดนัทเปรียบ Clé de Peau Beauté เป็นผู้หญิง เธอเป็นผู้หญิงที่รู้จักตัวเองและแน่นอนว่าต้องมีความโตขึ้นทุกปี เหมือนกับ Clé de Peau Beauté ที่มีการปรับสูตร La Créme ที่ดูแลตัวเองและปรับสูตร ซึ่งเป็นแบรนด์ในเครือของ Shiseido ที่มีคลังข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เคลย์ เดอ โป จึงได้ใช้ข้อมูลนี้ในการพัฒนาครีม The new La Créme ล่าสุดนี้เลยค่ะ”
เมื่อถามถึงความประทับใจของ La Créme รุ่นที่ 8 นี้เธอบอกว่า “ประทับใจมากๆ เคลย์ เดอ โป ได้เชิญโดนัทไปร่วมงานเปิดตัว La Créme ที่ลอนดอนในเดือนตุลาคม และได้ลองใช้โปรดักนี้เป็นคนแรก ตัวเก่าก็ชอบแล้ว แต่ตัวใหม่บอกเลยว่าแค่อาทิตย์แรกที่ใช้จะรู้สึกได้เลยว่าผิวเรามีอะไรเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น อยากให้ทุกคนได้ลองเหมือนกับที่โดนัทได้ใช้ค่ะ”
พบกับ La Créme 30 มล. 21,000 บาท / 50 มล. 28,000 บาท ได้แล้วที่ Clé de Peau Beauté ทุกสาขา
จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1982 La Créme ได้กำเนิดขึ้นจากการค้นคว้าทดลองของนักวิทยาศาสตร์ของ Clé de Peau Beauté จนถึงปัจจุบันได้พัฒนาสูตรให้ทวีประสทิธิภาพถึง 8 ครั้ง และในวันเปิดตัวครีมทั้ง 7 ตัวได้ดิสเพลย์ประวัติศาสตร์ของแบรนด์ได้อย่างสวยงาม แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครหาครีมเอดิชั่นแรกได้เลยView this post on InstagramA post shared by Harper's BAZAAR Thailand (@bazaarthailand) on










เมื่อถามถึงความประทับใจของ La Créme รุ่นที่ 8 นี้เธอบอกว่า “ประทับใจมากๆ เคลย์ เดอ โป ได้เชิญโดนัทไปร่วมงานเปิดตัว La Créme ที่ลอนดอนในเดือนตุลาคม และได้ลองใช้โปรดักนี้เป็นคนแรก ตัวเก่าก็ชอบแล้ว แต่ตัวใหม่บอกเลยว่าแค่อาทิตย์แรกที่ใช้จะรู้สึกได้เลยว่าผิวเรามีอะไรเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น อยากให้ทุกคนได้ลองเหมือนกับที่โดนัทได้ใช้ค่ะ”
พบกับ La Créme 30 มล. 21,000 บาท / 50 มล. 28,000 บาท ได้แล้วที่ Clé de Peau Beauté ทุกสาขา