พูดคุยกับผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์สุภาพบุรุษ Boll & Rava และ Ace Denim

เจาะลึกถึงสไตล์การทำงาน และอัพเดทคอลเลคชั่นใหม่ประจำฤดูกาลนี้
โบลล์ แอนด์ ราวา (Boll & Rava) กำเนิดขึ้นในฐานะแบรนด์แฟชั่นที่ถูกจับตามองและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ก่อตั้งโดยสองดีไซเนอร์รุ่นใหม่ กิลโยม ราวา (Guillaume Rava) และ แบร์ทรันด์ โบลล์ (Bertrand Boll) ที่ได้พบกันระหว่างเรียนและได้ร่วมกันทำโปรเจ็คต์ให้กับ แบรนด์
วิคอมต์ เอ. (Vicomte A.) ได้รับความนิยมในประเทศฝรั่งเศส และด้วยสไตล์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการจับคู่สีและผสมผสานเนื้อผ้าที่แตกต่างเข้าด้วยกัน ทำให้ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่พวกเขาร่วมกันออกแบบคอลเลคชั่นและกำกับศิลป์ วิคอมต์ เอ.มียอดขายสูงถึง 15 ล้านยูโร และยังได้รับรางวัลสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม Who’s Next อันทรงเกียรติจากสมาคมแฟชั่นของฝรั่งเศส ในปี 2008 จนได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนสายแฟชั่นอย่างมากมาย จุดเริ่มต้นของแบรนด์โบลล์แอนด์ราวา เกิดขึ้นในปี 2015 เมื่อพวกเขาได้นำเสนอคอนเซ็ปท์ชุดสูทเพื่อการเดินทางเป็นครั้งแรกทางสถานีโทรทัศน์ BFM ของประเทศฝรั่งเศส โดยโบลล์และราวาได้กล่าวถึงที่มาที่ไปว่า หลังจากพวกเขาได้รับคำชมเชยระหว่างการเดินทางว่าชุดที่สวมใส่นั้นดูดีมีสไตล์ พวกเขาจึงตัดสินใจร่วมกันทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง สำหรับการมาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ บาซาร์จึงได้มีโอกาสพูดคุยกับสองหนุ่มแบบเป็นกันเอง
Harper’s Bazaar: ช่วยเล่าถึงขั้นตอนการทำงานตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่การมองหาแรงบันดาลใจจนสร้างสรรค์ออกมาเป็นผลงานแต่ละชิ้น?

BB & GR:
เราเกิดแรงบันดาลใจในระหว่างที่เราเดินทางท่องเที่ยว เราสังเกตเห็นแสงในรูปแบบต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ตายตัว ทำให้ชีวิตและจิตใจเป็นอิสระจากกฎเกณฑ์ จริง ๆ แล้วเราไม่ได้สร้างอะไรใหม่เลย เรารับเอาสิ่งที่มาจากแสง มาผสมผสานกับประสบการณ์ที่เรามี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนำแสงและสี มาผสมให้ลงตัวเป็นส่วนหนึ่งของคอลเลคชั่นหรืออยู่ในเทรนด์แฟชั่น ซึ่งถ้าเราสามารถทำได้เราก็อยากจะนำเสนอคอลเลคชั่นใหม่ทุกสัปดาห์ เพราะเรามีแบบผ้าในไลน์มากพอ รูปแบบผ้าเกิดจากวิสัยทัศน์ของเรา เมื่อเรานำสิ่งที่อยู่ในความคิดของพวกเราออกมานำเสนอเป็นชิ้นงานได้แล้ว จากนั้นก็จะมาจัดลำดับความคิดว่าอะไรที่สามารถนำมาใช้ในธุรกิจ เพื่อสร้างสรรค์ คอลเล็คชั่นใหม่ๆ ในช่วงเวลา 3-6 เดือน พอเรามีไอเดียแล้ว เราสองคนก็สเก็ตช์ภาพร่างออกมาจากไอเดียด้วยกันและช่วยกันเลือก พอตกผลึกกับไอเดียแล้วเราถึงจะไปคุยกับซัพพลายเออร์ซึ่งอยู่อิตาลี ยกตัวอย่างเช่นเราจะทำผ้าพิมพ์ลายที่เน้นให้เห็นแสงสีเขียวเพื่อนำไปผลิตออกงานแสดงสินค้าอย่างมิลานแฟร์ หรือปารีส ไอเดียแบบนี้จะขายได้หรือไม่ ถ้าได้เราเลือกผ้าแล้วก็ไปโรงงานผลิตเพื่อพูดคุยปรึกษาเรื่องการผลิต จากนั้นก็ผลิตผ้าตัวอย่างออกมา ทำการทดสอบต่าง ๆ ในกระบวนการผลิต ทดสอบเนื้อผ้าด้วยการใส่ทดลองใส่ว่าเหมาะกับผู้ใช้แค่ไหน จากนั้นเก็บรายละเอียดทุกอย่างให้สมบูรณ์แล้วก็นำมาเป็นหนึ่งในคอลเล็คชั่น นี่คือวิธีการทำงานของเรา  ในส่วนของกระบวนการสร้างสรรค์ออกแบบ เราสองคนจะช่วยกันตัดสินใจในเวลานั้นเลยว่าจะเลือกใช้ลายผ้าแบบไหนกับคอลเล็กชั่นใด

การเลือกใช้ผ้าของเรา สิ่งที่เราให้ความสำคัญคือต้องทำให้เป็นเอกลักษณ์ ยกตัวอย่างเช่น ผ้าที่เราใช้ทำชุดว่ายน้ำ จริงๆ แล้วไม่ใช่ผ้าสำหรับทำชุดว่ายน้ำโดยเฉพาะ แต่เป็นผ้าที่ตอนแรกผลิตขึ้นมาสำหรับเป็นชุดลำลอง แต่เราก็เลือกที่จะเอามาทำเสื้อเชิ้ตแบบทางการแล้วก็สำหรับคอลเลคชั่นชุดว่ายน้ำด้วย ตอนแรกทุกคนก็บอกว่า ทำไม่ได้ แต่เราก็พยามทดลอง ผสมผสานในรูปแบบของเราเอง แบบลูกผสม เหมือนรถยนต์ไฮบริดที่ใช้ได้ทั้งน้ำมันและไฟฟ้า ผ้าที่เราออกแบบก็เช่นกัน จากนั้นจึงนำไปออกงานแสดงสินค้าต่างๆ ทั้งในปารีสและมิลานตลอด 6 เดือน ตามงานแสดงสินค้าจะมีโรงงานเป็นพันๆ ที่มานำเสนอเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่ตนเองมี อันนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของดีไซเนอร์ ยิ่งมีประสบการณ์มากก็สามารถเลือกโรงงานที่เหมาะกับความคิดสร้างสรรค์และการผลิตสินค้าในคอลเลคชั่นของตนเองได้ดี

เรามองหาไอเดียใหม่ๆ ทุกวัน โรงงานที่เราใช้ผลิตผ้าสำหรับเสื้อเสวตเตอร์จากแคชเมียร์ เราจะรู้ว่าโรงงานนี้เก่งในด้านไหน โรงงานนี้มีเทคโนโลยีใช้ซิลิโคนเพื่อผลิตผ้าที่มีลักษณะสามมิติได้ เราใช้เทคโนโลยีนี้กับการผลิตเสื้อเสวตเตอร์ ในขณะที่แบรนด์ใหญ่ๆ จะใช้เทคโนโลยีซิลิโคนผ้าสามมิติกับเสื้อเสวตเตอร์เนื้อผ้าคอตตอนเท่านั้น เราจะมองหารูปแบบแปลกใหม่กับผ้าและงานที่เราสร้างสรรค์เสมอ ยกตัวอย่างเช่นเนื้อผ้าวูลที่เราเอามาใช้กับกางเกง เมื่อใส่แล้วจะให้ความรู้สึกเหมือนใส่กางเกงจ็อกกิ้ง ไม่ใช่กางเกงแบบสูท ตอนนี้เราอยู่ในโลกไฮบริดที่กำลังเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ในโลกใบนี้ เราสามารถสะท้อนความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้จากผลงานที่เราสร้างสรรค์
HB: การทำงานในแต่ละคอลเลคชั่นคุณแบ่งหน้าที่ว่าใครรับผิดชอบด้านใดอย่างไร?
BB & GR: เราทำงานทุกอย่างด้วยกัน ทุกการตัดสินใจ เราตัดสินใจร่วมกันก่อนว่างานของเราจะดีกับตลาดหรือไม่ จากนั้นเราต้องตัดสินใจร่วมกันว่าจะทำมันต่อหรือจะหยุด ถ้าไม่มีเหตุผลแรง ๆ ด้านใดด้านหนึ่งออกมาต้านเราจะเดินหน้าทำมันต่อ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีเพราะเราจะได้มีเหตุผลครอบคลุมในการทำงานและเป็นเรื่องดีแนวคิดใหม่ ๆ ที่จะออกมาภายหลัง เราคิดและตัดสินใจร่วมกันเสมอ


HB: คุณสองคนจัดการกับปัญหาอย่างไรหากมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน?

BB & GR: เราก็จะไม่ผลิตสินค้าออกมา แต่ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นเลย เพราะเราสามารถอธิบายเหตุผล มุมมองต่างๆ ได้เสมอ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือให้ความคิดสร้างสรรค์ของเราต้องทำงานไปให้สุด ยกตัวอย่างเช่น หากมีไอเดียในการออกแบบลายผ้าเป็นลายของม้าลาย เราต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่าใครจะใส่ ใครที่ใส่แล้วดูดี เราตกผลึกว่าลายแบบนี้สามารถทำรองเท้าได้ เพราะคนทำงานแบงค์คงไม่สามารถใส่สูทลายทางไปทำงานได้ ต้องรู้กลุ่มเป้าหมาย สิ่งนี้คือเรื่องสำคัญ เราจะคิดร่วมกันเสมอว่าคนกลุ่มไหนใส่เสื้อผ้าแบบไหนถึงจะเหมาะ


HB: สำหรับการออกแบบเครื่องประดับ คุณมีแนวคิดเช่นไรและต้องคำนึงถึงเสื้อผ้าในคอลเลคชั่นมากน้อยแค่ไหน?
BB & GR: แน่นอน ต้องเชื่อมโยงกัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บ่งบอกลักษณะเฉพาะและตัวตนของผู้ใช้สินค้า แม้ว่ามันจะไม่ได้เชื่อมโยงเสียทีเดียว อย่างเช่นดีไซน์ของกุชชี่ เดี๋ยวนี้มีการออกแบบโลโก้หรือสัตว์ต่างๆ ที่แทบจะไม่รู้ว่าเป็นกุชชี่ แต่คนก็ชอบกันเพราะมันคือแฟชั่น แต่สำหรับเราแนวทางการออกแบบอาจจะดูแปลกและแตกต่าง คือเราใช้ลายม้าลายแต่ก็ไม่ได้โชว์ให้เห็นชัดๆ จะไปอยู่ด้านใน แอบอยู่ในส่วนต่างๆ แต่ก็มีความลงตัวกับดีไซน์ การออกแบบของแบรนด์ Boll & Rava และ Ace Denim ก็มีความแตกต่าง ที่เป็นเอกลักษณ์เช่นกัน ซึ่งทั้งหมดได้ผ่านการตัดสินใจของเราสองคนเสมอ และนี่เป็นเหตุผลเหมือนกันว่าทำไมผลิตภัณฑ์ของเรา แบรนด์ของเรามีความเฉพาะตัว เพราะผลผลิตที่เกิดขึ้น ได้เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของคนสองคน ไอเดียที่ผสมผสานกันย่อมสร้างความโดดเด่นและแข็งแกร่งกว่าความคิดเดียวเสมอ
HB: คุณทั้งสองมีแนวคิด หรือ หลักในการทำงานอย่างไรถึงได้สร้างสรรค์มีไอเดียใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
BB & GR: เรารักงานของเรา งานคือชีวิตของเรา เราเดินทางทุกอาทิตย์ สิ่งนี้ทำให้เรามีพลังใหม่ ๆ มีชีวิตและส่งต่อพลังใหม่ๆ ไปสู่ผลงาน เราทำงานด้วยกันมา 12 ปีแล้ว เวลาทำงานแฟชั่นเสร็จคอลเล็คชั่นนึง เราก็จะมองหาเทคโนโลยีใหม่ ออกแบบผ้าใหม่ เสื้อผ้ารูปแบบใหม่มานำเสนอเสมอ ตอนที่เราทำงานร่วมกันแรกๆ เราออกแบบเสื้อผ้าที่มีสีสันหลากหลาย เราทำเสื้อโปโล และทำจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ จนเราค่อยๆ เติบโต เราเติมรายละเอียดลงไปในสีสันเสมอ รายละเอียดเหล่านั้นก็ทำให้เป็นทางการได้ เป็นสไตล์ผู้ใหญ่ที่ยังคงไว้ซึ่งความสนุกสนาน เราไม่หยุดที่จะออกแบบ เราเพิ่มเติมรายละเอียดลงไปได้เสมอ ความยากลำบากอย่างหนึ่งก็คือ เราต้องคิดไว้เสมอว่าจะทำอย่างไรให้ไอเดียออกมาเป็นผลิตภัณฑ์จริงๆ ต้องผ่านกระบวนการทำงาน การจัดการต่างๆ มากมาย แต่ตราบใดถ้าเรายังใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้ก็เป็นเรื่องดีมาก และต้องการออกแบบงานใหม่ ๆ ออกมาเสมอ ดีไซน์เนอร์ทุกคนก็คงอยากเป็นเช่นนี้

ดังนั้นเราจะคิดและออกแบบกันอยู่ตลอด เราจะไม่รอ หรือปล่อยเวลาให้เสียไปเพียงแค่การทำงานแฟชั่นโชว์ คือการมีงานแฟชั่นโชว์ก็ดี แต่เราก็ไม่อยากทำแบบนั้น เพราะเราต้องการทำงานสร้างสรรค์ ออกแบบและผลิตผลงานออกมาให้ลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ ไม่อยากทำแค่นั่งอธิบายเหตุผลเพื่อจะขายงานของเรา แต่อยากทำแต่ละคอลเล็คชั่นให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ต่อไป

HB: ช่วยพูดถึงคอลเลคชั่นล่าสุดให้ฟังหน่อยว่ามีอะไรพิเศษน่าตื่นเต้นบ้าง?
BB & GR: คอลเล็คชั่นใหม่จะออกมาปลายเดือนมีนาคมนี้ สำหรับเมืองไทยและปารีส และอย่างที่บอกเราจะมีอีเว้นต์ใหญ่ที่มิลาน มีแขกดัง ๆ มากมายในวงการไปเข้าร่วม และเราจะนำเสนอผลงานลิมิเต็ด เอดิชั่น รวมถึงเราได้วางแผนที่จะเปิดช็อปใหม่ในปารีส และกำลังเจรจาเปิดร้านใหม่ในห้าง East Nation ที่ญี่ปุ่น เช่นเดียวกับในเมืองไทย นอกจากนี้เรามีแผนเปิดตัวแคมเปญใหม่ภาพลักษณ์ใหม่เพื่อตีตลาดในอเมริกา และที่แรกที่จะไปคือ แอลเอ เพราะเรามีโชว์รูมและพื้นที่ในคอนเซ็ปต์สโตร์ที่นั่น นี่คืองานของเราในปีนี้ สหรัฐและญี่ปุ่นน่าจะเป็นตลาดหลัก และที่น่าตื่นเต้นคือเรากำลังคุยกับสยามดิสคัฟเวอรี่เรื่องพื้นที่สำหรับป๊อบอัพ สโตร์ เพื่อจัดอีเว้นต์สนุกๆ ที่เราวางแผนเปิดตัวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ที่เมืองไทย เพราะนายแบบของเราเป็นแชมป์โลกมวยไทย อาจมีการแข่งขันมวยไทย แต่ตอนนี้ยังไม่ลงตัวในรายละเอียด

HB: ทำไมถึงเลือกแอลเอแทนที่จะเป็นนิวยอร์ก หรือเมืองอื่น?
BB & GR: เพราะแอลเอเป็นเมืองต้นกำเนิดของยีนส์ ก็ต้องไปที่นั่น ไม่ใช่ไปในที่ที่คนไม่สนใจ ประวัติศาสตร์ต้นกำเนิดยีนส์คือแอลเอ ตลาดหลักของผ้ายีนส์เกิดขึ้นที่แอลเอและมิลานก่อน แล้วนิวยอร์กค่อยตามมา นิวยอร์กเป็นที่แห่งแสงสีและที่ๆ ให้ไอเดียเรามากกว่า ในขณะที่แอลเอจะสงบกว่าให้อารมณ์ที่แตกต่างกัน ญี่ปุ่นก็สำคัญมากกับเราเช่นกัน เราอยากทำงานกับผู้ผลิตยีนส์ที่นั่น เพราะคนที่นั่นทำงานละเอียดมากทุกขั้นตอนและตลาดก็แข็งแรงมากเช่นกัน East Nation จะเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดี นอกจากนี้ ที่ดูไบก็จะเป็นอีกตลาดที่มีความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีในการผลิตยีนส์ เราจะผลิตสินค้าเมด อิน ดูไบ ภายใต้  แบรนด์สัญชาติฝรั่งเศสของเรา

ดูไบถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของตลาดโลก ที่มีส่วนแบ่งสินค้าลักชัวรี่มากถึง 40% ของตลาด UAE เป็นตลาดใหญ่ที่ไม่อาจมองข้ามได้เลย ห้างแกลเลอรี่ ลาฟาแยตต์ ก็ตั้งอยู่ที่นั่นและจะมีอีเว้นต์ เราอาจจะไปจัดโชว์การชกมวย หรือทำนิทรรศการที่นั่น ต้องดูรายละเอียดอีกที นั่นคืองานสำหรับเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนปีนี้จะเป็นงานที่เราทำทั่วโลกในปี 2020 แน่นนอนที่สุดว่าเราจะออกแบบสินค้าลิมิเต็ดเอดิชั่นสำหรับที่นั่น

ผมขอพูดถึงเรื่องความยั่งยืนของระบบนิเวศที่เราเห็นเป็นเรื่องสำคัญมากของแบรนด์ เราต้องลดการใช้และรู้จักประหยัด สำหรับดีไซน์เนอร์อย่างเราแม้ว่าจะเดินทางเยอะทั้งเครื่องบินหรือทางรถ แต่สิ่งที่ทำได้เหมือนกันคือการประหยัดน้ำ แบรนด์ใหญ่อย่างลี ลีวายส์ ใช้น้ำมากถึง 100 ลิตรต่อกางเกงยีนส์หนึ่งตัว นั่นเท่ากับต้องใช้น้ำมากถึง 2,000 ล้านลิตรต่อชั่วโมงในอุตสาหกรรมผลิตยีนส์ในภาพรวม เราภูมิใจมากที่เราสามารถลดการใช้ปริมาณน้ำได้และจะพยามสื่อสารออกไปให้มากขึ้นในเรื่องนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ ผ่านวีดีโอที่นำเสนอ และจะนำเรื่องราวดี ๆ นี้ไปโพสต์ลงเว็บไซต์ใหม่ของเราช่วงกลางเดือนมีนาคม ผมคิดว่าทุกแบรนด์ควรต้องใส่ใจเรื่องความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มาก ไม่ใช่แค่พูดเพื่อหวังผลทางการค้าเท่านั้นแต่ต้องลงมือทำจริงจัง  ทุกผลิตภัณฑ์ของเราจะมี QR Code ที่ลูกค้าสามารถสแกนตรวจเช็คได้ว่าคุณได้เป็นส่วนหนึ่งของการประหยัดพลังงานไปเท่าไหร่ เราโปร่งใสเรื่องนี้มาก ลูกค้าสามารถตรวจสอบได้ ต้องใส่ใจกับรายละเอียดเหล่านี้ ซึ่งเราให้ความสำคัญมาก ๆ
HB: คุณมีวิธีการอย่างไรในการผลิตสินค้าคุณภาพสูงแต่ราคาที่ยังคงจับต้องได้?
BB & GR: ยากมากครับ เราต้องบอกว่าเราทุ่มเท มุ่งมั่น ในการผลิตสินค้าทั้งของแบรนด์ Boll & Rava และ Ace Denim ด้วยความตั้งใจ เราไม่เคยลดราคา ไม่เคย Sale เพราะเราต้องการสร้างจุดยืนให้กับแบรนด์ของเราว่าเราเป็น     แบรนด์ชั้นนำ สำหรับราคาที่เราตั้ง คุณจะเห็นว่าเป็นแค่ราคาระดับเริ่มต้นเท่านั้นของแบรนด์ในระดับ Hi-end แม้ว่าเราจะใช้เทคโนโลยีใหม่ แพกเกจสวย ผลิตในประเทศที่มีมาตรฐานฝีมือสูง ทั้งหมดก็เพื่อลูกค้า เราเคารพลูกค้าของเรา สินค้าต้องใส่แล้วทำให้ลูกค้าดูดี เราให้คำแนะนำเรื่องการแต่งตัวกับลูกค้าด้วย ร้านแบรนด์สมัยนี้ลดทอนรายละเอียดเหล่านี้ไปเกือบหมด แต่สำหรับเราการบริการเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องการให้ผู้ใส่ยีนส์ของเราใส่แล้วดูดีไม่งั้นราคาที่ตั้งก็อาจจะสูงกว่าความเป็นจริง

HB: คุณทั้งสองมาเยือนประเทศไทยบ่อยครั้ง ได้นำไอเดียอะไรไปใช้ในการออกแบบของคุณบ้าง?
BB & GR: เมืองไทยเต็มไปด้วยแสงสีที่แตกต่าง ความสดใส เป็นเมืองที่สวยมาก เราขึ้นไปบนตึกมหานคร ภาพที่ได้เห็นทำให้เรารู้สึกประทับใจมาก กรุงเทพฯ เต็มไปด้วยพลัง เราได้ไอเดียต่าง ๆ มากมาย อย่างเช่น เสื้อเชิ้ต เราออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจจากกรุงเทพฯ เหตุผลหนึ่งคือ เราต้องการให้เสื้อแห้งเร็ว เพราะเราได้เรียนรู้จากประสบการณ์ เข้าใจลักษณะอากาศของประเทศไทย ซึ่งเป็นเมืองที่มีอาการร้อนมาก เหงื่อออกเพราะใส่แจ็กเก็ต เรามองว่าเสื้อผ้าเราไม่ตอบโจทย์แล้ว จึงเลือกผลิตเสื้อผ้าที่ระบายอากาศ แห้งเร็ว อย่างที่บอกตั้งแต่ต้น กรุงเทพฯ เต็มไปด้วยแสงสีและพลัง รอยยิ้ม สิ่งเหล่านี้ การเดินทางได้พบสิ่งต่างๆ มีอิทธิพลกับไอเดียการออกแบบของเราแน่นอน

HB: คุณมีความเห็นการวงการแฟชั่นไทยอย่างไร
BB & GR: เราไปสยามพารากอนมา และเห็นว่ามีคนเอาแนวคิดออกแบบผ้า viscose เราไปใช้เยอะเลย ปีที่แล้วมีแค่เจ้าเดียว ปีนี้มีถึง 3 ร้าน ซึ่งเป็นเรื่องแปลกดี และเราก็ไปร้านจิม ทอมป์สัน เลยได้คำอธิบายว่าแฟชั่นเมืองไทยจะเดินตามแฟชั่นและเทคนิคห้องเสื้อชั้นสูง ถ้านำรูปแบบที่ตัวเองมีมาออกแบบก็จะสามารถทำให้แฟชั่นแบรนด์ไทยมีตัวตนที่ชัดเจมากขึ้น เช่น แบรนด์ SIRIVANNAVARI น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีในการผสมผสานเอกลักษณ์ของไทยให้เข้ากับแนวทางแฟชั่นใหม่ๆ ได้อย่างดี หรือแม้แต่แฟชั่นโชว์ของหลุยส์ วิตตองที่ผ่านมา ที่มีตัวตลกใส่เสื้อสีฟ้าคราม ทำให้ผมนึกถึงสองปีที่แล้ว เราได้ไปเยี่ยมชมหมู่บ้านย้อมคราม บางครั้งดีไซเนอร์ไม่ได้บอกหรอกว่าไอเดียเขามาจากไหน แต่ผมก็มั่นใจว่าเขาคงได้แรงบันดาลใจจากการย้อมครามไม่มากก็น้อยแน่นอน  สำหรับวงการแฟชั่นไทยสิ่งที่ต้องพัฒนาไม่ใช่เรื่องรูปลักษณ์ภายนอก แต่เป็นเรื่องของเทคนิค การใช้งาน ว่าทำอย่างไรจะให้ผ้ามีความยืดหยุ่นและแห้งเร็วซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องสำคัญ
 

HB: อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณทั้งสองหลงรักในการทำแบรนด์ และเป็นดีไซเนอร์มากที่สุด?
BB & GR: เยอะแยะเลย เรารักอาชีพเรา เราใช้ชีวิต ตื่นมาได้ทำในสิ่งที่รักเป็นเรื่องแตกต่างมากกับการทำงาน เรารักการเดินทาง กินอาหารอร่อย ชีวิตเต็มไปด้วยของสวยงาม ส่งต่อแนวคิดไปสู่การผลิตผลงานแต่ละชิ้นได้อย่างชัดเจน เราคิดและส่งต่อแนวคิด ข้อความไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานแต่ละชิ้น เรื่องที่น่าสนุกและตื่นเต้นอีกอย่างของการเป็นดีไซเนอร์คือ เราอาจจะช่วยให้คนมีบุคลิกและตัวตนที่ชัดเจนขึ้นผ่านการแต่งกาย แต่แน่นอนถ้าคุณเห็นคนใส่กางเกงทรงจ๊อกกิ้งหรือเสื้อสูทแคชเมียร์ทรงสปอร์ต คุณอาจจะคิดว่าเขาเป็นนายแบบก็ได้เพราะเสื้อผ้าของเราใส่แล้วทันสมัย ดูเท่ห์ นั่นก็เพราะคอนเซ็ปต์การแต่งกายที่เราคิดสร้างสรรค์ขึ้นมา เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ยังไม่เคยมีใครออกแบบในลักษณะนี้มาก่อน เราสร้างเอกลักษณ์ที่คนสามารถนำไปหยิบใช้เพื่อสร้างตัวตนของตัวเองได้ เป็นเรื่องสนุกและตื่นเต้นที่ได้เห็น ผมไม่รู้หรอกว่าคาร์ล ลาเกอร์เฟลต์จะรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นผู้หญิงส่วนใหญ่และสตรีชั้นสูงเลือกใส่เสื้อผ้าของเขา เขาคงจะรู้สึกภูมิใจมากๆ ถึงแม้ว่าเราจะยังไปไม่ถึงจุดนั้น แต่ตอนที่เราเห็นทีมฟุตบอลเลสเตอร์ใส่เสื้อผ้าของเราขึ้นเวที เรามีความสุขและภูมิใจมาก ๆ  นอกจากนี้เวลาเห็นคนกดไลค์ในไอจี ส่งข้อความว่าได้รับสินค้าแล้วชอบมาก เวลาที่เราได้รับเสียงตอบรับเหล่านี้ทำให้เราดีใจมาก 

HB: ปัจจุบันบทบาทของโซเชียลมีเดียส่งผลต่อวงการแฟชั่นอย่างมาก ในความคิดเห็นของคุณช่วยพูดถึงมุมมองนี้หน่อย?
BB & GR: แน่นอนมีอิทธิพลมาก เรามองโซเชียลมีเดียเป็นเหมือนภาพยนตร์นะ มีอิทธิพลกับงานของเรา ในช่วงเริ่มต้นเรามีบล็อกไว้โชว์งาน เดี๋ยวนี้คนดังได้จากโซเชียลมีเดีย นักร้องคนดังมีอิทธิพลมาก ยกตัวอย่างพัฟ แดดดี้ ผมฟังเพลงเขาตั้งแต่อายุ 12 เดี๋ยวนี้เค้าก็ยังดังและโลดแล่นอยู่ในวงการและเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้ามากมาย แน่นอนโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลกับเราเพราะเราไม่อยากหลุดจากแวดวงนี้ไป เราต้องรู้จักใช้ไอจีให้เป็น ต้องมีพื้นที่ในการนำเสนอ มีผู้ทรงอิทธิพลที่จะช่วยเราบอกเล่าเรื่องราว อย่างเช่นเรามีผู้เล่นทีมเลสเตอร์ นายแบบนักมวย บุคคลเหล่านี้ช่วยส่งต่อข้อความ สร้างตัวตนในโลกโซเชียลมีเดียให้คนรู้จักเรามากยิ่งขึ้น

HB: คุณมีวิธีการเลือก Influencer อย่างไร เพื่อช่วยสร้างแบรนด์และบ่งบอกถึงตัวตนของแบรนด์?
BB & GR: สำคัญมากครับที่เราต้องหาคนที่สามารถช่วยส่งข้อความ “Conquering Spirit” (จิตวิญญาณแห่งชัยชนะ) และเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้ ซึ่งแบรนด์ Ace Denim ของเราครบรอบ 2 ปีแล้ว ซึ่งในช่วงเริ่มต้นเราเลือกที่จะโฟกัสกับการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดี เปิดช้อปให้เป็นที่รู้จักมากกว่าเลือก influencer ซึ่งต้องใช้เวลาและพลังการทำงานมากทีเดียวในการที่จะบริหารจัดการ ทำให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ในทางกลับกัน เราเลือกที่จะทำงาน สร้างความเข้าใจกับผู้ขายสินค้าของเรามากกว่า คนเหล่านี้สามารถเป็นทูตสินค้าให้เราได้ และสามารถแนะนำลูกค้าได้ว่าสินค้านี้ หรือสินค้านั้นเหมาะกับลูกค้าอย่างไร เราไม่อยากจ่ายเงินให้คนไปพูดว่าสินค้าเราดีอย่างนั้นอย่างนี้ ผมมองว่าแบรนด์ใหญ่ๆ จะออกจากไอจีภายในเวลา 5 ปีนี้ ผมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาในโลกโซเชียลมันมากเกินต้องการแล้ว เราควรให้ความสำคัญกับของจริง และคำแนะนำจากผู้ขายที่อยู่ในร้านก็เป็นสิ่งสำคัญมาก คนเหล่านี้คือ influencer ที่แท้จริง เราจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากกว่า เราก็คุยกันเรื่องนี้เยอะมากแต่ในที่สุดก็ตกผลึกว่าทางที่เราจะเดินไปคือแนวทางที่จะนำเสนอในมุมของคุณภาพ เทคโนโลยีในการผลิต ความรักและหลงไหลในแฟชั่น นั่นคือมุมมอง วิสัยทัศน์ของเรา ผลลัพธ์ที่เราอยากเห็นคือผู้คนพูดถึงผลิตภัณฑ์ของเราแล้วมีคำถามว่าแบรนด์อะไร หาซื้อได้จากที่ไหน ซึ่งน่าจะดีกว่าการจ่ายเงินล้านเหรียญให้ดารานักร้องลงแบรนด์เราเพียงครั้งเดียว และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราเลือกทำงานกับ East Nation ของญี่ปุ่น ทั้งนี้ก็เพื่อให้ห้างนี้หน้าที่เหมือนเป็น influencer สำหรับลูกค้าของเรานั่นเอง เช่นเดียวกับร้านที่จะเปิดใกล้กับมิลานในเดือนมีนาคมนี้ด้วย

TAG

Related Stories

จิตวิญญาณของดินแดนอินโดจีนผ่านผู้คน ชุมชน อาหาร และโบราณสถานอันงดงาม ผ่านการเชื่อมโยงของสองรีสอร์ทหรู Amantaka หลวงพระบาง และ Amansara ในเสียมเรียบ
แรงบันดาลใจจากโลกตะวันตกสู่ส่วนผสมของเสื้อผ้าคอลเลกชั่นกลิ่นอายคาวบอยโมเดิร์นคลาสสิก
เดินทางสู่ดินแดนอันไกลโพ้นสุดขอบเกาะไอซ์แลนด์ ในเสื้อผ้าที่ผสานไปด้วยสีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วง
เมื่อเรื่องราวของผู้หญิง 6 คนแห่งประวัติศาสตร์ ถูกถ่ายทอดผ่านลวดลายเส้นของศิลปินไทยอย่าง นักรบ มูลมานัส ใน Mooncake คอลเลคชั่นพิเศษจาก Maison Bleue
แนวเพลงสไตล์ R&B กับดนตรีที่มีกลิ่นอายความเท่ พร้อมกับเสียงร้องมากเสน่ห์ของ ไบร์ท และ มัจฉา ที่ฟังได้แล้ววันนี้ในซิงเกิ้ลล่าสุด
อัปเดตคอลเล็กชั่นใหม่จาก BALENCIAGA / ADIDAS ไปพร้อมกับพวกเขา ณ Hall of Fame ชั้น M ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน
ฉากหลังคือสะพานอเล็กซานเดอร์ที่ 3 เป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

Most Viewed

สร้อยทองคำขาวประดับอัญมณีรวม 964 เม็ด รังสรรค์ผ่านระยะเวลากว่า 450 ชั่วโมง
พร้อมทอดพระเนตรนิทรรศการทรงคุณค่า ประวัติศาสตร์ขององค์กรหกแผ่นดินยึดมั่นการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อประชาสังคม
สร้อยทองคำขาวประดับอัญมณีรวม 964 เม็ด รังสรรค์ผ่านระยะเวลากว่า 450 ชั่วโมง
พร้อมทอดพระเนตรนิทรรศการทรงคุณค่า ประวัติศาสตร์ขององค์กรหกแผ่นดินยึดมั่นการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อประชาสังคม
รีสอร์ทหรูแห่งใหม่ที่พร้อมมอบประสบการณ์การพักผ่อนระดับอัลตร้าลักชูรีท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์

MORE FROM

จิตวิญญาณของดินแดนอินโดจีนผ่านผู้คน ชุมชน อาหาร และโบราณสถานอันงดงาม ผ่านการเชื่อมโยงของสองรีสอร์ทหรู Amantaka หลวงพระบาง และ Amansara ในเสียมเรียบ
แรงบันดาลใจจากโลกตะวันตกสู่ส่วนผสมของเสื้อผ้าคอลเลกชั่นกลิ่นอายคาวบอยโมเดิร์นคลาสสิก
เดินทางสู่ดินแดนอันไกลโพ้นสุดขอบเกาะไอซ์แลนด์ ในเสื้อผ้าที่ผสานไปด้วยสีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว