หัวข้อสนทนาของเราในคราวนี้โฟกัสไปที่เรื่องราวของการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) ยุคใหม่ในธุรกิจแฟชั่น โดยมีตัวอย่างจากบรรดาลักชัวรี่แบรนด์หัวกะทิ ซึ่งใครที่จะมุ่งทำงานสายธุรกิจแฟชั่น จะรู้เพียงเรื่องธุรกิจแบบพื้นฐานไม่ได้เเล้ว แต่ต้องเรียนรู้ในเรื่องของกลยุทธ์ในด้านดิจิทัลอย่างลึกซึ้งด้วย “ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มีความสำคัญสำหรับยุคนี้มากค่ะ มันคือสิ่งที่ขับเคลื่อนให้ลักชัวรี่แบรนด์เติบโตได้จริงๆ” หากคุณสงสัยว่าข้อมูลขนาดใหญ่มาจากไหน มันก็คือข้อมูลที่มาจากทั้งภายในแบรนด์เอง กับข้อมูลที่ลูกค้าอย่างเราๆ คลิกเข้าไปทางช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ จำนวนครั้ง ความถี่ คำที่ค้นหา ทุกอย่างล้วนกลายเป็นข้อมูลทั้งนั้น “มันมีค่ามากสำหรับวงการลักชัวรี่แบรนด์ในยุคนี้ ยกตัวอย่างเบอร์เบอรี่ที่เริ่มต้นเป็นรายแรกๆ ที่สนใจในเรื่องนี้อย่างจริงจังค่ะ โดยมีผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอย่าง Angela Ahrendts ผู้บริหารของแบรนด์ โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2007 มาเลยที่เธอและลูกทีมมองหาโอกาสทางธุรกิจด้วยการใช้ข้อมูลและ Omnichannel ซึ่ง Omni-Channel Marketing คือการผสานช่องทางทั้งหมดของธุรกิจเข้าด้วยกัน เป็นการวิวัฒนาการของการทำการค้าปลีกผ่านหลายเเชนเเนลและสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้บริโภคเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าแบรนด์สามารถเก็บสะสมข้อมูลต่างๆ ของลูกค้าได้ แบรนด์ก็จะรู้จักลูกค้าของตัวเองมากขึ้น และมีอีกหลายแบรนด์ในเครือ Kering ที่พัฒนาเรื่องนี้ได้ดีเยี่ยม ยกตัวอย่างเช่น Gucci, Bottega Veneta, Saint Laurent, Stella McCartney และอีกหลายๆ แบรนด์”เซ็นเนทกล่าวว่าสมาร์ทโฟนเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนี้ 60% ของผู้ซื้อใช้โทรศัพท์ของตัวเองตลอดเวลา “แบรนด์ต่างๆ ต้องพัฒนาแอปพลิเคชั่นสำหรับโทรศัพท์มือถือของตัวเองอย่างหนักเลยค่ะ เพราะนอกจากช้อปปิ้งเเล้ว ก็ยังเป็นช่องทางในการเผยแพร่ข่าวมีเดียต่างๆ อีกด้วย” ทางหลักสูตรของสถาบัน อิสติตูโต้ มารังโกนี ก็เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาช่องทางโซเชียลมีเดียในปัจจุบัน จึงได้มีการเรียนการสอนในเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูล ไปจนถึงการทำเว็บไซต์แฟชั่นและพัฒนาแอปพลิเคชั่นด้วยตัวเอง
เมื่อเราถามเซ็นเนทว่าทิศทางของผู้บริโภคสินค้าลักชัวรี่แฟชั่นจะเป็นอย่างไรในอนาคต เธอกล่าวว่า 2 ถึง 5 ปีต่อจากนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปแน่นอน “แบรนด์ต่างๆ ต้องเริ่มมองไปที่ Generation Z ค่ะ ถึงเเม้จะมีกลุ่มลูกค้า Gen X และมิลเลนเนียลอยู่ก็ตาม โดย Gen Z คือกลุ่มคนที่เกิดในปี 2000s ต้นๆ นั่นเอง พวกเขาเป็นกลุ่มที่ต้องการความรวดเร็ว โฟกัสในเรื่องความรู้สึก ประสบการณ์ที่ได้รับจากแบรนด์ และพร้อมจะเเชร์ให้ผู้อื่นได้รับรู้ ผ่านช่องทางโซเชียลของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ คอมเม้นต์ หรือรีวิว เพราะพวกเขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวของแบรนด์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าคุณภาพ (Quality) นั้นก็สำคัญ แต่ก็ต้องมีเรื่องราว (Story) มาเกี่ยวข้องด้วย” แล้วเซ็นเนทก็ได้กล่าวถึงความสำคัญของเหล่า Micro Influencer หรือ Nano Influencer ซึ่งหมายถึงบรรดาคนที่มีผู้ติดตาม (Followers) ระหว่าง 5,000 - 100,000 ราย ว่ามีผลอย่างมากต่อลูกค้าในยุคนี้ “พวกเขาสามารถดึงดูดความสนใจจากลูกค้าได้อย่างน่าทึ่งเพราะมีความใกล้ชิดกับผู้คนมากกว่าเหล่า Macro Influencer ที่มีผู้ติดตามเป็นหลักแสนหลักล้าน ทั้งยังมีความรู้อย่างลึกซึ้งในเรื่องราวเฉพาะทางมากกว่า ทำให้มีความน่าเชื่อถือมากกว่า” ดังนั้นในปัจจุบันเราถึงเห็นการทำงานของลักชัวรี่แบรนด์ต่างๆ ที่ดึงกลุ่ม Micro Influencer มาร่วมงานมากขึ้น
www.facebook.com/marangonithailand หรือ โทร. 08-8895-4445 Line: @dpeducation
Email: designschool.imthailand@gmail.com
#Marangoni #IstitutoMarangoni