มาดูกันว่าทรีตเม้นท์หรือการผ่าตัดศัลยกรรมความงามแบบไหนที่กำลังมา เทคนิคการปรับรูปหน้าให้สมบูรณ์แบบอย่างเป็นธรรมชาติด้วยฟิลเลอร์ที่ให้คุณสวยได้ทุกมุมมอง เทรนด์ความงามของคนเจ็นวายและมิลเลเนี่ยลเค้าต้องการอะไร หรือถ้าคุณเป็นสายใจกล้าที่ต้องการทำศัลยกรรมโดยเฉพาะจมูก เรามีเทรนด์ที่กำลังมาแรงพร้อมเรื่องน่ารู้จากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญ และนวัตกรรมใหม่ล่าสุดกับการทำสวยด้วยเลือดของตัวเอง
นพ.วรพจน์ ศิรามังคลานนท์ -หมออาร์มMedical Director และผู้ก่อตั้ง
Hertitude Clinic แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและอาจารย์แพทย์ผู้สอนการปรับรูปหน้าด้วยโบท็กซ์และฟิลเลอร์ Allergan Aesthetics, USA
“เทรนด์ความงามปี 2021 นี้แบ่งเป็นสองกลุ่มอายุนั้นคือกลุ่ม Gen Millional ที่อายุประมาณ 18-35 ปี และกลุ่ม Gen Y ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป คน 2 กลุ่มนี้มีความต้องการไม่เหมือนกัน โดยกลุ่ม Gen Millional จะต้องการความงามที่เพอร์เฟ็คท์ ด้วยความที่อายุยังน้อยจึงไม่มีอะไรที่ต้องแก้ไข แต่เค้าจะกังวลเรื่องรูปหน้า โครงสร้างของใบหน้าอย่างตา จมูก ปาก มุ่งเน้นในสิ่งที่เค้าต้องการสร้างจุดเด่นให้กับใบหน้าอย่างจมูกที่โด่ง ปากที่ดูอวบอิ่ม ตาต้องดูกลมโต ก็เลยจะมีเทรนด์ว่าความงามรูปแบบไหนที่กำลังมาแรง ด้วยความที่คนเจ็นนี้ใช้สื่อโซเชี่ยลมีเดียเป็นหลัก จึงต้องการความงามที่สมบูรณ์แบบที่สุดในทุกมุมมอง ส่วนกลุ่มของ Gen Y เป็นกลุ่มที่เริ่มมีความเสื่อมของวัย จึงมีความสนใจว่าทำอย่างไรให้ดูดีสมวัย ซึ่งเค้าต้องการให้เวลาที่อื่นมองและสิ่งที่เค้ารู้สึกตรงกัน คือยังรู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา แม้ว่าวัยจะล่วงเลย

Kwaidan, Rochas: Imaxtree
จึงเกิดเทคนิคการปรับรูปหน้าให้สมบูรณ์แบบด้วยการใช้ฟิลเลอร์ฉีดเข้าไปในระดับโครงสร้างที่เรียกว่า 7 points shape สำหรับผู้หญิง และ 9 points shape สำหรับผู้ชาย เพราะมีเรื่องของการสร้างเหลี่ยมมุมบริเวณคางและขากรรไกรมากกว่า ซึ่งผมจะถูกเรียกร้องจากคนไข้ที่อยากหล่อแบบเทรนด์ Kpop ที่แม้รูปหน้าจะดูมีความเรียวแต่คางก็จะยังมีความเหลี่ยมอยู่ทำให้ไม่ดูเฟมินีนจนเกินไปทำให้เขาดูอ่อนโยนกว่าที่จะทำโครงหน้าให้ดูสตรองแบบฝรั่ง
สำหรับผู้หญิงก็จะเป็นเรื่องของการมีรูปหน้าที่ได้สัดส่วนสมบูรณ์แบบ จะกลับมาสู่รูปหน้าที่ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นแต่ดูสมบูรณ์แบบในแบบของเค้าเอง เมื่อก่อนเวลาปรับรูปหน้าจะดูแค่ว่าเวลาอยู่เฉยๆนี่สวยแล้วหรือยัง แต่ตอนนี้ไปไกลกว่านั้นคือคนไข้นอกจากอยู่เฉยๆแล้วสวยก็ต้องสวยเวลาแสดงอารมณ์ต่างๆด้วย คุณต้องสวยแบบทุกมิติทุกอารมณ์ โดยใช้เทคนิค MD Dyna Codes ซึ่งมองว่าต่อไปคนเราจะไม่แค่ดูแลใบหน้าให้คงที่แล้ว แต่ต้องพัฒนาและป้องกันก่อนที่จะเกิดความเสื่อมของวัยได้อีกด้วย ซึ่งคน Gen Y นี้เค้ามีความเข้าใจมากขึ้นว่ามันคือการชะลอวัยไม่ใช่การกระชากวัย เพราะการกระชากวัยมันทำให้คุณดูไม่เป็นธรรมชาติ
โดยเราจะนำฟิลเลอร์มาครีเอทโครงสร้างใบหน้า และใช้กับการทำงานของกล้ามเนื้อเช่นลดการทำงานของกล้ามเนื้อบางส่วนโดยไม่ต้องใช้โบท็อกซ์ ต่อไปเราจะทำให้คนไข้ขยับได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่ก่อนที่เราจะใช้ฟิลเลอร์ก็เพื่อเติมเต็ม แล้วมายุคที่ใช้ฉีดเพื่อลิฟท์ติ้ง ทำให้หน้าดูเล็กลงได้ยกกระชับได้ และมาถึงยุคที่ใช้เพื่อการปรับมูฟเม้นท์ของใบหน้าให้ดูสมมาตรได้สัดส่วนมากยิ่งขึ้น และยังเป็นการชะลอนาฬิกาอายุใบหน้าเราให้เดินช้าลงด้วยในตัวของฟิลเลอร์เองก็มีการพัฒนาไปตามเทคนิคอย่างฟิลเลอร์ Jevederm ของ Allergan ก็มีผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาเพื่อตอบโจทย์การปรับโครงหน้าที่มีชื่อว่า Volux ซึ่งผลิตมาเพื่อตอบโจทย์การครีเอทโครงสร้างใบหน้าที่ต้องการให้ดูสตรองหรือเพิ่มการลิฟท์ติ้งให้มากที่สุด ซึ่งใช้เฉพาะบริเวณกรอบหน้าเท่านั้น เนื่องจากโมเลกุลที่แน่นและแข็งมากเกินกว่าที่จะนำมาฉีดในบริเวณที่เห็นได้ชัด

ส่วนของโบท็อกซ์ที่เราใช้กันมากว่า 31 ปี จากที่เคยใช้กันหวือหวาฉีดไปหมดทุกอย่าง ตอนนี้เราจะใช้เพื่อบล็อกกล้ามเนื้อน้อยลง มีที่ใช้จำกัดมากขึ้นส่วนใหญ่ที่จะใช้ก็คือบริเวณกล้ามเนื้อหางตา หว่างคิ้ว กล้ามเนื้อหน้าผาก การเอามาฉีดเพื่อลิฟท์ติ้งจะน้อยลงเพราะให้ผลอยู่ได้แค่แป๊ปเดียว ในกรามยังมีฉีดอยู่ในคนเอเชีย และฉีดบริเวณรักแร้ในคนที่มีเหงื่อออกเยอะ เหตุผลก็คือตอนนี้ฟิลเลอร์จะเข้ามาตอบโจทย์ในเรื่องของลิฟท์ติ้งได้มากขึ้น
ในเรื่องของเครื่องมือต่างๆจะเป็นเรื่องของความแม่นยำในการใช้มากขึ้นอย่างการใช้อัลเธอร่า ต่อแต่นี้เทคนิคการยิงจะเป็นอะไรที่ personalize มากขึ้นเราจะไม่พูดแล้วว่ายิง 400 หรือ 500 ช็อททั่วหน้า แต่เราจะคุยกันว่าต้องยิงที่ผิวชั้นไหนและบริเวณไหนบ้าง ข้อดีก็คือคนไข้ไม่จำเป็นต้องยิงเยอะ ไม่จำเป็นต้องทนเจ็บ และผลลัพธ์ที่ได้ก็จะตอบโจทย์ได้ดีขึ้น อยู่นานยิ่งขึ้น และไม่ต้องเสียเงินเกินเหตุ
ในส่วนของเทรนด์เกี่ยวกับบอดี้ที่น่าสนใจตอนนี้ Cool Sculpting ยังเป็นอะไรที่ฮอตอยู่เพราะมันคือเทคโนโลยีอันดับ 1 ของโลกในการสลายไขมันแบบไม่ผ่าตัดแต่ให้ผลการรักษาที่เหมือนการดูดไขมัน อันที่สองที่มาแรงกว่านั้นที่คนขี้เกียจต้องชอบใจ คือไขมันก็ไม่เอา กล้ามเนื้อก็อยากได้ และไม่ต้องการออกกำลังกาย ปัจจุบันมีเครื่องที่เรียกว่า Emsculpt ซึ่งใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าส่งผ่านกล้ามเนื้อที่ต้องการเพื่อกระตุ้นให้มีการหดตัวอย่างรุนแรง เคลมว่าการใช้เครื่องนี้ 20 นาทีเทียบเท่ากับการซิทอัพถึง 20,000 ครั้ง โดยที่จะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อมีการกระตุก เป็นเทรนด์ที่มาแรงมากครับ
โดยสรุปในปี 2021 นี้คนจะต้องการความงามที่ดูธรรมชาติสุดๆแต่ก็ต้องมีความเป๊ะสุดๆเหมือนกัน และคนจะเริ่มมองว่าการฉีดสารต่างๆอย่างโบท็อกซ์หรือฟิลเลอร์เทียบเท่ากับการทำทรีตเม้นท์เหมือนกับการทานอาหารเสริม คนจะไม่อายแล้วจะมองว่าการทำสิ่งเหล่านี้ก็คือการดูแลตัวเองอย่างหนึ่งครับ”
พญ. วรารัตน์ สิริกุตตา -หมอมิว แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับรูปหน้าและศัลยกรรมจมูก
So Meko Clinic“ในปีนี้จะเป็นเรื่องของความงามที่ดูไม่ปลอมไม่หลอกตาและดูเป็นธรรมชาติ ถ้าไม่ใช่เรื่องของศัลยกรรมก็จะเป็นเรื่องของผิวใสสุขภาพดี เพื่อโชว์การแต่งหน้าเบาๆที่เน้นงานผิว ถ้าเป็นเทรนด์ของศัลยกรรมที่มาแรงตลอดกาลเลยก็คือเรื่องของจมูก ทรงจมูกที่คนกำลังให้ความสนใจมากจะเป็นทรงที่ทำแล้วดูเหมือนไม่ทำมา ต้องดูเนียนและเป็นธรรมชาติเหมือนเกิดมาก็มีจมูกสวยแบบนี้เลย ไม่ดูเป็นแท่งอีกต่อไป เน้นความสวยงามที่ดูเป็นธรรมชาติ ในเรื่องของจมูกทรงหยดน้ำที่เคยได้รับความนิยมสืบเนื่องจากเทรนด์ความงามในแบบเกาหลีที่จะชอบคนหน้าเรียวยาว ซึ่งคนพวกนี้จะมีช่วงกรามกับใบหน้าและจมูกที่ยาว ดังนั้นคนที่มีจมูกทรงหยดน้ำหน่อยๆจะดูสวยหวาน คนก็เลยอยากได้แบบนี้กัน ซึ่งมันก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน อย่างคนที่หน้าสั้นๆกลมแล้วไปทำจะทำให้จมูกเค้าดูงุ้มๆยาวดูมีอายุ แต่ตอนนี้คนเข้าใจมากขึ้นว่าทรงจมูกนี่เป็นอะไรที่ต้องเข้ากับหน้า ไม่ใช่แค่จมูกดูสวยอย่างเดียว

ในตอนนี้ที่คนนิยมใช้กระดูกหลังหูตัวเองมาเสริมจมูกก็เพราะปัญหาของคนไทยคือปลายจมูกจะสั้นๆ ทู่ๆ แบนๆ ก็เลยจะพยายามแต่งให้ปลายดูพุ่งละมุนสวยงาม ซึ่งแต่ก่อนเราใช้แต่ซิลิโคนคราวนี้ก็จะเกิดปัญหาว่าใส่แล้วบางทีผิวบางเกิดปัญหาปลายบางหรือจมูกทะลุได้ ตอนนี้เลยนำกระดูกหลังหูหรือเนื้อเยื่อก้นกบหรือเนื้อเยื่อเทียมมารองที่บริเวณปลายจมูกเพื่อช่วยลดปัญหานี้ ทำให้แต่งปลายได้สวยขึ้น และที่หมอพบอีกอย่างคือคนทั่วไปเข้าใจว่าการเสริมจมูกแบบโอเพ่นจะสวยกว่าทำแบบธรรมดา หมอขอบอกว่าต่างกันแค่ 5-10% เท่านั้นสำหรับเคสคนไทย คนที่จำเป็นต้องทำแบบโอเพ่นคือคนที่ต้องแก้ไขโครงสร้างของจมูกอย่างคนที่มีฮัมพ์สูงมากๆต้องใช้วิธีการตอกหรือคนที่จมูกคดมา เอาจริงๆคนที่เคยทำแบบโอเพ่นมาแล้วมาแก้แบบปิดแล้วสวยขึ้นก็เยอะค่ะ
ถ้าในเคสการทำจมูกหรือตานี่หมอไทยเราทำได้สวยและเหมาะกับใบหน้าคนไทยมากกว่า แต่คนมักจะนึกถึงเกาหลี ซึ่งหมอว่าจุดเด่นของเค้าคือการผ่าตัดใหญ่ทำโครงหน้า ซึ่งเค้าจะมีเคสเยอะและก็เด่นมาก อันนี้ต้องยกให้เค้าเรื่องการทุบโหนก เหลากราม แต่ของเราการทำเสริมจุดเล็กๆน้อยๆจะเหมาะกว่าเพราะเราคุ้นเคยและเข้าใจกับโครงสร้างคนไทยมากกว่า ส่วนเทรนด์ตามมาจากจมูกก็เป็นเรื่องของตาและคาง ส่วนในเรื่องของตาต่อให้เราไม่ได้อยากให้ตาสวยขึ้น แต่พออายุมากขึ้นคนส่วนใหญ่ก็ต้องมีการแก้ไขทำตา ด้วยเรื่องของกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงที่ทำให้หนังตาตก ขนตาม้วนไปแทงบังการมองเห็น ซึ่งการผ่าตัดแก้ไขได้ทั้งการรักษาและความสวยงามไปพร้อมกัน อีกเรื่องที่มาแรงก็คือเรื่องของการปลูกผม ที่ตอนนี้มีเทคนิคใหม่ๆมาตลอด
ส่วนเรื่องของการพักฟื้นดาวน์ไทม์นี่ ที่เคยมีมาก่อนก็คือการนวดกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองที่จะช่วยลดการบวมช้ำหลังทำศัลยกรรมได้ นอกจากนนี้ก็มีการฉายแสงสีแดงเพื่อช่วยลดบวม หรือการทานวิตามินอาหารเสริมที่ช่วยให้เข้าที่เร็วไม่ต้องพักฟื้นนาน และในอนาคตอาจจะเป็นเรื่องของการนำสเต็มเซลล์มาช่วย แต่ในบ้านเราตอนนี้การใช้สเต็มเซลล์ที่ได้รับการยอมรับคือนำมารักษาโรค แต่ในต่างประเทศจะนำมาใช้ในเรื่องของความงามกันเยอะ ในบ้านเรานั้นคงต้องรอดูต่อไปในอนาคต
แล้วที่ถามว่าเทคนิคการฉีดต่างๆจะมาแทนศัลยกรรมได้ไหมนั้น หมอขอตอบว่ามันต้องทำควบคู่กันไปค่ะ อยากเรื่องของการทำจมูกนั้นต้องศัลยกรรมเท่านั้น ส่วนอื่นของใบหน้าที่หย่อนคล้อย ไขมันหายไป เราก็ต้องใช้สารเติมเต็มและเครื่องมือเพื่อช่วยยกกระชับผิว หรือคนที่หน้าคล้อยไปดึงหน้าก็ตึงนะคะแต่คุณภาพผิวที่ย้วยๆก็ต้องใช้เครื่องช่วยกระชับอยู่ดี หมอคิดว่าตอนนี้วิทยาศาสตร์การแพทย์มันทำหรือแก้ไขได้เกือบทุกอย่างละ แต่ข้อจำกัดคือทุกอย่างจะมีเส้นแดงอยู่ว่าทำได้แค่นี้คือดีที่สุดของคุณแล้ว ถ้าข้ามเส้นนี้ไปก็จะเริ่มไม่ดีแล้ว คุณต้องหยุดแล้วนะ

เคสจมูกทรงแบบดาราที่คนเอามาให้ดูเยอะที่สุดตอนนี้นะคะจะเป็นจมูกแบบเก้า ศุภษรา, ใหม่ ดาวิกา และก็ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ที่จะออกแนวน่ารักๆหน่อย โดยหลักๆคนจะชอบสองแบบคือสายเกากับสายฝอ ซึ่งหมอก็ทำได้ทั้งสองแบบนะคะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสไตล์เกาหลีมากกว่าเพราะจะทำให้ดูหน้าหวานกว่าสำหรับโครงหน้าแบบเอเชีย ส่วนเคสแก้ที่หมอเจออันดับแรกจะเป็นเรื่องของการไม่พอใจรูปทรง ส่วนใหญ่จะมาพิมพ์เดียวกันคือเพื่อชวนไปทำก็ทำไม่ได้ศึกษาก่อนเอาแค่มีดั้งก็พอแล้ว พอโตขึ้นก็จะเริ่มเห็นละว่าหน้าดูแข็งๆทำให้หน้าดูดุดูแก่ ก็เลยจะมาปรับให้ดูธรรมชาติขึ้น อีกกรณีก็คือทำแล้วปลายบางหรือเบี้ยว

เวลามีคนไข้ที่จะมาทำจมูกหมอจะออกแบบให้เข้ากับรูปหน้าแต่คนตอนนี้ก็สนใจเรื่องของโหงวเฮ้งด้วย สำหรับหมอนะคะจมูกที่ดีคือช่วงสันจมูกต้องเทียบกับช่วงหน้าผาก สันจมูกต้องสูงพอดี ถ้าสูงเกินไปมันก็จะกันโชคลาภที่เข้ามา ซึ่งทางความงามถ้าจมูกสูงไปก็จะทำให้คนนั้นดูหน้าแข็งๆคนก็จะไม่ค่อยอยากเข้าหา เท่ากับปิดโอกาสตัวเอง หรือถ้าจมูกแบนไป เวลาอะไรเข้ามามันก็จะผ่านไป ที่หมอตีความก็คือมันจะทำให้ใบหน้าเค้าไม่มีจุดเด่นไม่มีเสน่ห์ดึงดูดโอกาสต่างๆที่จะเข้ามาก็น้อยลง ส่วนเรื่องของปลายจมูกนี่หมอว่าสำคัญมาก ปลายที่พุ่งแหลมๆเล็กในทางโหงวดเฮ้งคือต้องทำงานหนัก ปลายที่ดีคือต้องดูพุ่งแบบมนๆมีลักษณะเป็นถุงเงินอย่างที่เรียกว่าปลายพุ่งหยดน้ำ ทำให้หน้าดูหวานละมุน อย่างสุดท้ายคือปีกจมูกต้องไม่กว้างเกินไปเพราะเงินจะไหลออกหมด
สำหรับคนที่คิดจะทำศัลยกรรมนะคะ หมอคิดว่ามันก็เหมือนกับการลงทุนอย่างนึง ทำครั้งนึงก็อยู่ได้ตลอดชีวิตเลย ทำให้บางคนมีโอกาสในชีวิตดีขึ้น และหมอแนะนำให้ศึกษาเยอะๆดูว่าตัวเองต้องการแบบไหน แล้วเข้าไปคุยกับหมอให้แน่ชัดว่าสิ่งที่เราต้องการและสิ่งที่หมอจะทำนี่เข้าใจตรงกันไหมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกใจที่สุด”
PRFM นวัตกรรมใหม่ล่าสุดกับความสวยด้วยเลือดของตัวเอง
นพ. ภาวิต ภิรมย์ภักดี แพทย์ผิวหนังประจำ
AMED Clinic“PRFM เป็นการรักษาเพื่อความงามที่เราจะเอาเลือดของคนไข้เองออกมาปั่นด้วยเครื่องปั่นพิเศษจนเกิดการแยกชั้นเป็นสองส่วน นั่นก็คือส่วนของเซรั่มสีเหลืองใสหรือพลาสม่า ซึ่งจะมีโกรทเฟคเตอร์ที่ช่วยในเรื่องของการแบ่งเซลล์ผิวให้ดีขึ้น ช่วยซ่อมแซมผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ซึ่งเราจะเอาส่วนนี้มาฉีดกลับไปที่ผิวหน้าของคนไข้เอง โดยส่วนใหญ่เราจะฉีดตามจุดต่อมน้ำเหลือง หรือจุดที่มีปัญหาอย่างพวกใต้ตา ร่องแก้ม ฉีดช่วยเรื่องรูขุมขน และฉีดเพื่อผิวดูฟูอิ่มเอิบ และยังช่วยเรื่องของเส้นริ้วรอยเล็กๆได้ มันยังช่วยให้ผิวดูฉ่ำขึ้นกระจ่างใสขึ้นด้วย และยังสามารถใช้เพื่อรักษาอาการผมร่วงได้อีก

ซึ่ง Selphyl PRFM นี้ถือเป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในปัจจุบันโดยใช้ระบบ Closed-System ที่ใช้เวลารวดเร็วทำให้เราได้เซรั่มพลาสม่าที่ยังมีชีวิตอยู่มันเลยสามารถปล่อยโกรทเฟคเตอร์ได้อย่างต่อเนื่องทำให้ร่างกายนำพาสารอาหารต่างมาซ่อมแซมผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นทรีตเม้นท์ที่ต้องมาทำอย่างต่อเนื่องเพราะมันคือการให้สารอาหารกับผิว ข้อดีคือมันเป็นสารอาหารที่มาจากร่างกายเราเองจึงปลอดภัย 100% ไม่มีเอฟเฟ็คท์ใดๆ ซึ่งตัวนี้ต่างจาก PRP ทั่วไปที่พอเราได้ส่วนของเซรั่มแล้วมันจะถูกย้ายไปยังอีกหลอดเพื่อเปลี่ยนเป็น PRFM โดยมีสารตัวนึงจะช่วยสร้างตาข่ายหุ้มตัวพลาสม่าอีกที มันจะคงตัวอยู่ในผิวได้นานกว่าสามารถกระตุ้นผิวได้นานประมาณ 7 วัน ขณะที่ PRP จะอยู่ได้เพียง 2-3 วัน เราจึงสามารถนำมันมากเติมร่องใต้ตาหรือร่องแก้มคล้ายการสารเติมเต็มได้ และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ที่พอเอามือจับจะไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไอยู่ใต้ผิว

ขั้นตอนการแยกเซรั่มพลาสม่าที่มีโกรทแฟคเตอร์:
วิธีใช้ก็แล้วแต่ความต้องการของคนไข้ ในคนอายุน้อยๆที่ยังไม่มีปัญหามากเราจะใช้ฉีดทั่วหน้าเพื่อให้ผิวดูกระจ่างใสชุ่มชื้นมีชีวิตชีวา หรือในคนที่อายุมากขึ้นมีร่องมีริ้วรอยเราสามารถนำมาฉีดเติมเต็มร่องแก้มหรือใต้ตาเป็นฟิลเลอร์ธรรมชาติได้ เหมาะสำหรับคนที่กลัวหรือไม่ชอบการฉีดฟิลเลอร์กลัวว่าจะดูแข็งหรืออะไรทีหลัง แต่ข้อเสียคือคุณอาจจะต้องมาเติมบ่อยหน่อยเพราะผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1-1.5 เดือน แต่มันก็มีความเป็นธรรมชาติสุด ปลอดภัยที่สุด ซึ่งราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 15,000-25,000 บาทต่อครั้ง และหมอคิดว่ามันน่าจะได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงนี้
หลังฉีดแนะนำให้ล้างหน้าเบาๆก่อนเพราะมันจะต้องใช้เวลาเพื่อฟอร์มตัวเป็นตาข่ายใต้ผิวประมาณ 3 วัน และไม่ควรใช้น้ำร้อน ห้ามนวดหน้า ทำเลเซอร์สักสองวีค ที่สำคัญคืออย่าจับหน้ารุนแรงเพาะจะทำให้ตาข่ายที่กำลังฟอร์มตัวใต้ผิวขาดได้ ส่วนคุณภาพของโกรทเฟคเตอร์ในเลือดนั้นขึ้นกับสุขภาพของเจ้าของเลือด ถ้าคุณสุขภาพดีมีการดูแลตัวเองโกรทเฟคเตอร์ที่ได้ก็จะยิ่งมีคุณภาพดี คุณก็จะเห็นผลลัพธ์ยิ่งขึ้น สามารถฉีดได้ทุกเพศทุกวัย ยิ่งคุณเริ่มต้นดูแลเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งสวยได้นานขึ้นครับ”