ก่อนจะไปถึงเรื่องของ Thermage และ Ultherapy เราต้องรู้ก่อนว่าสาเหตุของความหย่อนคล้อยคืออะไร
เมื่ออายุเราเพิ่มมากขึ้นนั้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลง 2 อย่างที่เป็นต้นเหตุของความหย่อนคล้อย หนึ่งคือ การเปลี่ยนแปลงในชั้นผิวในส่วนของเส้นใยคอลลาเจนที่เป็นตัวประสานเนื้อเยื่อผิว และสองคือ การเสื่อมสภาพของพังผืดที่ห่อหุ้มกล้ามเนื้อในชั้นใต้ผิวหนัที่เรียกว่าสแมส (SMAS) ใต้ชั้นผิวหนังแท้ลงไปจะมีชั้นไขมันและชั้นกล้ามเนื้อซึ่งมีพังผืดสแมสห่อหุ้มเมื่ออายุมากขึ้นสแมสเริ่มอ่อนแอหย่อนคล้อยถ่วงให้ผิวชั้นบนหย่อนลงรูปหน้าจะเริ่มเปลี่ยนไปคิ้วตกแก้มและมุมปากตกเห็นร่องแก้มแก้มห้อยเริ่มมีคางสองชั้นสามชั้นกรอบหน้าเริ่มไม่ชัดเจน
“เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ ให้นึกว่าคอลลาเจนเป็นเหมือนหมอนที่รองอยู่ใต้ผิวเรา แล้วใต้หมอนก็มีตาข่ายขึงให้หมอนมันคงรูป” คุณแบงค์ - กัลยรัตน์ อัครเดชเดชาชัย ผู้บริหาร Immagini & Daisy Diva Clinic สถานเสริมความงามที่ให้บริการ Ultherapy มากที่สุดในประเทศไทยอธิบายให้เราฟัง
“พอเราอายุมากขึ้นนุ่นในหมอนมันก็ค่อยๆ หาย ค่อยๆ สลายไป หมอนมันก็ไม่นุ่ม จิ้มลงไปมันก็ไม่เด้งกลับมาเหมือนเดิม ผิวที่คอลลาเจนเริ่มเสื่อมสลายไปก็จะเป็นแบบนั้น นอกจากนั้นตาข่ายที่ขึงให้หมอนมันคงรูปด้านใต้ก็เริ่มอ่อนแอ ไม่แข็งแรง หมอนก็ฟีบลงไม่ตึงแน่นเหมือนแต่ก่อน การจะเข้าใจว่า Ultherapy และ Thermage เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ต้องเริ่มจากการเข้าใจว่าสาเหตุของผิวหน้าหย่อนคล้อย ไม่ได้มีแค่หนึ่งเดียว แต่มาจากสองปัจจัยที่บอกไว้”
แล้ว Thermage กับ Ultherapy ต่างกันอย่างไร ?
ทั้ง Thermage และ Ultherapy คือเทคโนโลยีที่ช่วยฟื้นฟูผิวจากความหย่อนคล้อย โดยยกกระชับให้ผิวกลับมากระชับตึง เป็นนวัตกรรมระดับโลกที่ผ่านการรับรองจาก US FDA แต่ก็มีข้อแตกต่างที่ผู้ที่สนใจควรจะต้องศึกษาไว้
ความแตกต่างแรกคือลักษณะของคลื่นพลังงานที่ยิงลงไปใต้ชั้นผิวหน้าเริ่มจาก Ultherapy คือการใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ (Focused Ultrasound) ที่มีความถี่สูง มีความเฉพาะเจาะจงและแม่นยำส่งพลังงาน ขนาดเท่าปลายเข็มประมาณ 8,000 จุด ลงไปที่ชั้นสแมสที่พูดถึงไปก่อนหน้า เพื่อให้พังผืดห่อหุ้มกล้ามเนื้อและคอลลาเจนกลับมาตึงแน่น แข็งแรง กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวหนังยกกระชับ ช่วยให้คิ้วยกขึ้น เปิดช่องเหนือตาให้กว้างขึ้นทำให้ตาดูโตขึ้นสามารถแก้ไขกรอบหน้าที่หย่อนคล้อย รวมทั้งรอยย่นที่คอ ให้กระชับได้รูป
ส่วน Thermage นั้นเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ส่งคลื่นวิทยุลงไปใต้ชั้นผิวหนังแล้วถูกเปลี่ยนเป็นความร้อนโดยความร้อนนี้ทำให้เส้นใยคอลลาเจนเดิมที่หย่อนคล้อยหดตัวทำให้ผิวกระชับขึ้นลดริ้วรอยเหี่ยวย่นและความร้อนยังกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
สรุปคือ Ultherapy และ Thermage นั้น แตกต่างกันในเรื่องของพลังงานและความลึกของชั้นผิวที่เข้าไปทำงาน โดย Ultherapy เป็นพลังงานอัลตราซาวนด์ที่ลงลึกไปถึงชั้นพังผืดเหนือกล้ามเนื้อ ส่วน Thermage เป็นคลื่นวิทยุที่ลงไปทำงานในชั้นไขมัน เป็นการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหนัง จาก 2 สาเหตุที่แตกต่างกัน ตามที่เกริ่นไปในช่วงต้นนั่นเอง
Victoria Beckham SS19: Imaxtree.com
แล้วเราควรทำ Thermage หรือ Ultherapy?
ต้องบอกก่อนว่าทั้งสองอย่างทำงานต่างกันและทดแทนกันไม่ได้แปลว่าถ้าคุณเลือก Ultherapy พังผืดที่รองรับชั้นผิวของคุณก็จะกลับมาตึงแข็งแรง แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าความยืดหยุ่นของผิวที่เริ่มหดหาย จากการสูญสลายของคอลลาเจนในชั้นผิวจะกลับมาเหมือนเดิม ผิวหน้าของคุณอาจจะดูยกกระชับขึ้น แต่การสปริงตัวของผิวแบบเอานิ้วจิ้มแล้วเด้งกลับมานั้น คงไม่ได้ฟื้นกลับมาได้ด้วยมากนัก เพราะฉะนั้น ถ้ากำลังทรัพย์อำนวยก็แนะนำให้ทำทั้งสองอย่างไปเลย เพียงแต่ควรขอคำแนะนำจากแพทย์ว่าควรทำสิ่งใดก่อนและควร เว้นระยะห่างกันแค่ไหน เป็นต้น
ถ้ากำลังทรัพย์ไม่อำนวยและทำได้แค่อย่างเดียวจริงๆ ล่ะ?
ถ้าต้องเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งให้ดูว่าสภาพใบหน้าของคุณนั้นเอื้ออำนวยให้การรักษาประเภทไหนมีประสิทธิภาพมากที่สุด Thermage นั้นทำหน้าที่ส่งพลังงานเข้าไปในส่วนชั้นไขมัน แก้ปัญหาที่เส้นใยคอลลาเจนหย่อนคล้อย ขาดการยืดหยุ่นสปริงตัว ให้หดกลับมา และมีเกลียวที่ขึงตึงขึ้น ช่วยยึดเนื้อเยื่อผิวหนังได้ดีขึ้น ทำให้ผิวยืดหยุ่นมีสปริง และกระชับ เพราะฉะนั้น ถ้าการหย่อนคล้อยของใบหน้าคุณเป็นการหย่อนคล้อยแบบสาวแก้มยุ้ยที่แก้มเริ่มห้อย มีเหนียงใต้คาง คือเป็นคนที่มีไขมันบริเวณใบหน้าเยอะ หรือเป็นคนที่มีผิวหย่อนคล้อยซึ่งเป็นผลจากการลดน้ำหนัก Thermage จะเป็นการรักษาที่เหมาะกับคุณมากกว่า เพราะมันจะช่วยให้ผิวที่หย่อนจากการสูญเสียคอลลาเจนนั้นกลับมาฟูตึงได้ (เวลาที่เราลดน้ำหนัก ร่างกายจะเสียคอลลาเจนไปด้วยเช่นกัน)
ส่วนคนที่ผอมหรือไม่มีไขมันบนใบหน้ามาก แต่ผิวหย่อนคล้อย โดยเฉพาะผิวรอบดวงตา หางตาตกเหล่านี้ Ultherapy จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
แล้วอะไรเจ็บกว่ากัน?
ถ้าคุณไปคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแลหมอจะบอกกับคุณตรงๆว่า “Ulthera เจ็บแบบทนได้” ส่วนมากจะกลับมาทำซ้ำทุกๆ ปี สำหรับ Thermage นั้น เครื่องรุ่นใหม่ๆ เจ็บน้อยลงไปมากอยู่ แต่เอาจริงๆ ทั้งสองอย่าง เจ็บคนละแบบกัน Ultherapy จะให้ความรู้สึกเหมือนโดนจักรเย็บผ้าเย็บหน้า เพราะพลังงานลงเป็นจุดเล็กๆใส่เรียงเป็นแนวตามยิง ส่วน Thermage เป็นคลื่นวิทยุ เพราะฉะนั้นจะให้ความรู้สึกร้อนใต้ผิวหนัง
อีกเรื่องที่ต้องขอบอกไว้ก่อนคือ Ultherapy นั้นยิ่งคุณมีไขมันบนใบหน้าน้อยเท่าไรก็ยิ่งเจ็บคือแม้มันจะเหมาะกับคุณมากกว่าแต่มันก็เจ็บกว่าสำหรับคุณเช่นกันและจุดไหนที่ชั้นผิวหรือไขมันบางก็ยิ่งเจ็บเช่นรอบดวงตาหน้าผากเมื่อยิงลงไปจะเจ็บกว่าบริเวณแก้มแน่นอน
แล้วต้องนอนเจ็บนานแค่ไหน กว่าหมอจะยิงเสร็จ?
ในกรณีที่พูดถึงการรักษาทั้งใบหน้า ไม่รวมช่วงของการใช้ยาชา ก็ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชม. บางรายอาจมีผิวแดงเล็กน้อย แต่ภายใน 1 ชั่วโมงจะหายไปเอง สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ
ต้องทำกี่ครั้ง และจะเห็นผลเมื่อไร?
ทั้ง Thermage และ Ultherapy นั้น ทำเพียงปีละครั้งก็รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงได้ในระดับหนึ่ง เพราะเริ่มเกิดกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซึ่งจะสมบูรณ์ภายใน 3 เดือน ส่งผลให้ใบหน้ารู้สึกดึงกระชับ คิ้วยกขึ้น ทำให้ดวงตาดูโตขึ้น รูขุมขนเล็กลง ผิวเต่งตึงและเรียบเนียนทั่วใบหน้าไปจนถึงลำคอ ผลการรักษาอยู่ได้นาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละคน